ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นักกฎหมาย ชี้ "เงินบริจาค - เงินวัด" แยกไม่ชัดเสี่ยงถูกดำเนินคดี

สังคม
14:50
56
นักกฎหมาย ชี้ "เงินบริจาค - เงินวัด" แยกไม่ชัดเสี่ยงถูกดำเนินคดี
อ่านให้ฟัง
09:53อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
นักกฎหมาย มองปม "เงินบริจาค - เงินวัด" ชี้ ต้องแยกชัดเจน หากนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์อาจถูกดำเนินคดี เผยกรณีวัดตั้งมูลนิธิเพื่อสะดวกต่อการช่วยเหลือสาธารณประโยชน์ พร้อมชี้ "วุฒิทางโลก" ไม่เกี่ยวข้องใช้กรณีพิจารณา "สมณศักดิ์"

จากกรณีการตรวจสอบเงินการใช้บริจาควัดพระบาทน้ำพุ และมูลนิธิ ว่าใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบวุฒิการศึกษาของ หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี

ล่าสุด วันนี้ (20 ส.ค.2568) นายประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม "มหาหมี" กล่าวในช่วงจับตาสถานการณ์ ทางไทยพีบีเอสว่า เบื้องต้นต้องให้ความเป็นธรรมกับวัดพระบาทน้ำพุ และหลวงพ่ออลงกต และมูลนิธิทั้ง 6 แห่ง เพราะขณะนี้ยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใด ๆ และกระบวนการสอบของคณะสงฆ์ยังไม่ได้ข้อยุติว่าท้ายที่สุดท่านมีความผิดทางพระธรรมวินัย หรือ กฎหมายสงฆ์ หรือ กฎหมายบ้านเมืองแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตามหากสมมติว่าข้อเท็จจริงชี้ว่า กระทำความผิดจริงจะเป็นความผิด 2 ส่วนคือ 1.ความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และ 2.กฎหมายบ้านเมือง 

กรณีที่ 1.ความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เนื่องจากหลวงพ่ออลงกตถือเป็นเจ้าพนักงานรัฐ ซึ่งถือว่าท่านได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ร่วมกับไวยาวัจกร ตาม ม.45 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ ถือว่า เป็นเจ้าพนักงานตามความประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สงฆ์ หมายความว่า การกระทำการใด ๆ ของท่านในฐานะเป็นผู้แทนของวัด ตามมาตรา 31 วรรค 3 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ ปี พ.ศ.2505 แก้ไขปี พ.ศ.2535 ในฐานะเป็นผู้จัดการนิติบุคคล ซึ่งก็คือวัด ก็ถือว่า ท่านจะต้องรับผิดและรับชอบในกิจการที่ท่านทำ 

หากปรากฏว่า มีการกระทำโดยการใช้เงินบริจาค และ เงินของวัด หรือ เงินของมูลนิธิใด ที่ท่านไปเกี่ยวข้องผิดไปจากวัตถุประสงค์ต้องพิสูจน์เจตนาว่า ท่านไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ ผิดเพราะระเบียบเงื่อนไขใด แต่ถ้ามีเจตนาก็จะมีความผิดฐานเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติโดยมิชอบหรือโดยทุจริต หรือจะมีความผิดเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ ซึ่งเป็นฐานความผิดนับเป็นกระทง นี่คือส่วนของหลวงพ่อกับวัด

รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม อธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกรณีดังกล่าวไม่ว่าจะเป็น คฤหัสถ์ ฆราวาส หรือ พระ เณร หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะมีความผิดฐานผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.86 โดยรับผิด 2 ใน 3 หรืออาจเป็นเจ้าพนักงานหรือบุคคลธรรมดายักยอกเบียดบังทรัพย์ในฐานะตัวการร่วมก็ได้

"วุฒิทางโลก"  ไม่เกี่ยว กรณีขอ "สมณศักดิ์"

รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ยังกล่าวว่า กรณีวุฒิการศึกษาต่าง ๆ นั้น ขอเรียนในหลักการว่า การที่หลวงพ่ออลงกตจะมีวุฒิการศึกษาใด ก่อนที่จะมาเป็นภิกษุ โดยหลักการในพระพุทธศาสนา ในพระธรรมวินัย ใครมีหน้าที่การงาน ตำแหน่งใด ๆ มีวุฒิการศึกษาใดก็แล้วแต่เมื่อมาบวชนั้นสละทั้งหมด และมาเริ่มใหม่ในการศึกษาทางธรรม 

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นว่า ในการพิจารณาเลื่อนสมณศักดิ์ของท่าน โดยปัจจุบันหลวงพ่อเป็นพระราชาคณะ "ชั้นราช" เดิมเป็นราชาคณะ "ชั้นสามัญ" ที่มีชื่อว่า "พระอุดมประชานารถ" ในสมัยราชการก่อน ซึ่งการขอสมณศักดิ์นั้นผู้โปรดเกล้าฯ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการขอจะต้องเขียนประวัติส่วนตัวของหลวงพ่อและส่งไปเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะจังหวัด ตามขั้นตอน ผ่านไปยังสำนักเลขาธิการ มหาเถรสมาคม ไปยังสำนักงานเลขาธิสำนักพระราชวัง นำขึ้นทูลเกล้าฯ และทรงลงพระปรมาภิไธย

ดังนั้น ต้องไปดูว่าหลวงพ่ออลงกตได้เขียนประวัติที่เป็นทางโลกไปด้วยหรือไม่หรืออ้างเอกสารทางโลกหรือไม่ เพราะระเบียบของคณะสงฆ์ไม่จำเป็นต้องอ้างวุฒิการศึกษาก่อนที่จะเข้ามาบวช อ้างเฉพาะเมื่อบวชโดยจบนักธรรม ตรี โท เอก และมีคุณูปการในการช่วยผู้ป่วย หรือคนเจ็บอย่างไร นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์

รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ยังอธิบายว่า การได้ตำแหน่งทางปกครองของพระมาจากพระรูปนั้นเป็นพระนักพัฒนา หรือเป็นพระเป็นนักปกครอง ซึ่งอาจไม่จบสูงก็ได้ ทั้งนี้ การศึกษาของสงฆ์มี 3 แผนก คือ 1.แผนกนักธรรม 3 ชั้น คือ นักธรรมตรี โท เอก  แผนก 2 คือ บาลี มีตั้งแต่เปรียญที่ 1-9  ละ 3แผนกปริยัติสามัญ ซึ่งมีเรียนคล้ายกับทางโลกซึ่งมีการเรียนถึงระดับปริญญาตรี-โท ซึ่งการศึกษาที่ผ่าน 3 แผนกนี้เท่านั้น จึงจะพิจารณาประกอบการขอสมณศักดิ์ 

กรณีการอ้างวุฒิทางโลกนั้นเป็นเพียงองค์ประกอบ โดยอาจจะใส่เพื่อให้เห็นว่า มีความเหมาะสมหรือไม่เช่น จบนิติศาสตร์ คณะสงฆ์ก็เห็นว่า อาจมีความเหมาะสมในการเป็นพระนักปกครอง แต่ในทางสงฆ์จะดูว่า จบอะไรในทางธรรม ต้องไปดูว่าหลวงพ่ออลงกตนั้นท่านได้ใส่วุฒิการศึกษาทางโลกด้วยหรือไม่ซึ่งตรวจสอบได้ โดยมีหลักฐานอยู่ที่สำนักพุทธฯ

นอกจากนี้ ในกรณีหลวงพ่อหลวงพ่อนั้น แม้ว่าหลวงพ่อหรือบริวารของท่านเขียนในโปรไฟล์ว่า มีการศึกษาทางโลกแบบใด ๆ นั้น ตรงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์เลย แต่เกี่ยวข้องหากหลวงพ่อใช้และกล่าวในที่ต่าง ๆ แล้วมีการใช้เอกสารนั้นเป็นเอกสาร หรือเมื่อพูดแล้วนำไปสู่การเลื่อมใสศรัทธาและได้ทรัพย์มาแต่ในข้อเท็จจริงต้องให้ความเป็นธรรมกับหลวงพ่อ เพราะเมื่อชาวบ้านที่บริจาคเงินถวายวัด ซึ่งคิดแต่เรื่องการช่วยผู้ติดเชื้อ HIV เพราะทำบุญกับคนป่วยผ่านต้นบุญคือ หลวงพ่ออลงกต ฉะนั้นอาจไม่สนใจว่า หลวงพ่อจะจบการศึกษาใดมา

"วัด-มูลนิธิ" ต้องแยกชัดเจน 

นายประยุทธ ยังกล่าวถึงการตั้งมูลนิธิว่า ในส่วนของวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ซึ่ง พ.ร.บ.สงฆ์ กำหนดไว้ว่าการดำเนินกิจการของวัดต้องเป็นไปเพื่อกิจการของพระพุทธศาสนาอย่างเดียว

 

ทั้งนี้ การดำเนินกิจการใด ๆ ของวัด ในฐานะนิติบุคคลและมีผู้แทนผ่านเจ้าอาวาสต้องรายงานตรงไปยังคณะสงฆ์ ผ่านตามขั้นตอนซึ่งมีหลายขั้นตอนมาก 

การดำเนินการของวัดต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางศาสนาอย่างเดียว จะไปดำเนินการด้วยวัตถุประสงค์อื่นไม่ได้ 

รองประธานมูลนิธิ ทนายกองทัพธรรม ยังกล่าวว่า การดำเนินการของวัดนั้นมีหลายขั้นตอนคล้ายกับระบบราชการ จึงเป็นที่มาของการที่วัดหรือพระ ที่ทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือสาธารณะ เช่น หลวงพ่ออลงกต หลวงพ่อพยอม หลวงพ่อสมบูรณ์ หลวงพ่อเณร ที่สร้างโรงพยาบาล หลายแห่งจึงจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมา

คิดว่า หลวงพ่ออลงกตคงมองว่า การดำเนินการผ่านกิจการของวัดมีความยุ่งยากจึงตั้งมูลนิธิขึ้นมาเป็นนิติบุคคลแยกออกมาจากวัด ทั้งนี้ มูลนิธินั้นห้ามทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาล้วน และต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่หากจะเกี่ยวข้องกับศาสนาได้แต่ต้องเกี่ยวกับสาธารณชน

ดังนั้น การจัดตั้งมูลนิธิจึงง่ายกว่าในการทำกิจกรรมช่วยเหลือชาวบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่นิยมของวัดที่จะจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมา เพียงแต่วัดพระบาทน้ำพุ นั้นจัดตั้งหลายแห่ง โดยตามกฎหมายอาจจะให้ 1 ต่อ 1 แห่ง คือ วัดละ 1 แห่ง แต่ก็มีกรณีวัดไร่ขิงก็มีการจัดตั้ง 3 มูลนิธิแต่ก็แยกวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น มูลนิธินี้ดูแลโรงพยาบาล อีกแห่งดูแลโรงเรียน และอีกแห่งดูแลวัด แต่จริง ๆ ต้องตั้งเพียง 1 แห่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นายประยุทธ ยังกล่าวว่า เงินบริจาคเพื่อกิจการของวัดต้องใช้เพื่อกิจการศาสนาของวัดเท่านั้น แต่หากบริจาควัดและนำเงินไปให้มูลนิธิไม่สามารถทำได้เพราะต้องแยกนิติบุคคล และเงินรายได้ของมูลนิธิต้องปิดงบประมาณปลายปีและต้องตรวจสอบโดยกรมสรรพากรซึ่งวัดไม่ต้อง ดังนั้นจะใช้ผสมปนเปกันไม่ได้ ต้องแยกบัญชีชัดเจน ซึ่งหากโยงเป็นใยแมงมุม ถือว่า ผิดวัตถุประสงค์ และอาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีได้ 

 

อ่านข่าว : เปิดใจ "หลวงพ่ออลงกต" สาเหตุลาออกเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ 

"สุชาติ" ขีดเส้น 10 วัน สอบถือครองที่ดิน-เส้นทางเงินวัดพระบาทน้ำพุ 

 ผู้เสียหายแจ้งความ "พระอลงกต-วัดพระบาทน้ำพุ" ออกใบอนุโมทนาบัตรไร้วันที่