หนึ่งในหัวข้อหารือหลักระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับยูเครนและยุโรปที่ทำเนียบขาว คือเรื่องการรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครน ซึ่งมีการพูดถึงว่าการรับประกันดังกล่าวจะมีลักษณะคล้ายๆ กับมาตรา 5 ของสนธิสัญญาก่อตั้งนาโต เมื่อพูดเรื่องการรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครน ยุโรปถือเป็นโต้โผใหญ่ เพราะสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ดูไม่ค่อยกระตือรือร้นในประเด็นนี้ แต่การส่งสัญญาณล่าสุดของทรัมป์ก็อาจทำให้ยูเครนและยุโรปใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง
เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุว่า สำหรับยูเครน การรับประกันความมั่นคงอันดับแรก คือการสร้างกองทัพให้แข็งแกร่ง และสิ่งที่ต้องตามมาคือการมีกองกำลังที่จะรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครน ซึ่งต้องทำให้มั่นใจได้ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ตุรกีและชาติอื่นๆ พร้อมเดินหน้าภารกิจปกป้องสันติภาพที่ยั่งยืนของยูเครน
ผู้นำฝรั่งเศส ระบุว่า ชาติยุโรปเดินหน้าพูดคุยในประเด็นนี้ทันที เพื่อกำหนดท่าทีในฝั่งยุโรป ก่อนที่จะหารือกับสหรัฐฯ เพื่อสรุปท่าทีที่ชัดเจน-ไม่กำกวม โดยกระบวนการทั้งหมดจำเป็นต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการจัดประชุม 3 ฝ่าย ระหว่างรัสเซีย ยูเครนและสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้ ตามข้อมูลที่ยุโรปได้รับมา
ดังนั้น 2 สัปดาห์นับจากนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ผู้นำยูเครนระบุว่าจะสรุปเรื่องการรับประกันความมั่นคงอย่างเป็นทางการให้ได้ภายใน 10 วัน
ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ยุโรปจะเป็นฝ่ายรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครน โดยมีสหรัฐฯ ช่วยประสานงาน แต่ไม่ได้พูดชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะช่วยยุโรปปกป้องยูเครนอย่างไร แต่หากประเมินกว้างๆ มีวิธีที่พอจะเป็นไปได้ 4 ข้อ

ข้อแรกคือ การส่งทหารเข้าไปประจำการในยูเครน ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธวิธีนี้มาตลอดและรัสเซียก็อาจไม่เห็นชอบด้วย ส่วนการลาดตระเวนทางอากาศและทางทะเลเป็นวิธีที่เป็นไปได้มากกว่า แต่เสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียได้ ขณะที่การให้ความร่วมมือด้านข่าวกรองและสนับสนุนยุโรปในด้านการลำเลียงกำลังพลและอาวุธช่วยยูเครน อาจเป็นตัวเลือกที่เข้าทางสหรัฐฯ มากกว่า เพราะสหรัฐฯ ไม่ต้องเสี่ยงเอง
มาร์ค รุตเตอร์ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ให้สัมภาษณ์ FOX News ว่า สหรัฐฯ และยุโรปยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการส่งทหารเข้าไปในยูเครน รวมถึงการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO แต่ได้คุยกันเกี่ยวกับการรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครนในลักษณะคล้ายๆ กับมาตรา 5 ในสนธิสัญญาก่อตั้ง NATO ซึ่งจะต้องมีการคุยกันในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นหลังจากนี้
มาตรา 5 ถือเป็นหัวใจของความร่วมมือ NATO โดยกำหนดว่า การโจมตีประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งจะเท่ากับเป็นการโจมตีทุกประเทศ ซึ่งจะทำให้แต่ละประเทศต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตามที่เห็นสมควรว่าจำเป็น รวมถึงการใช้กำลัง ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่ยูเครนต้องการมากที่สุด ในขณะที่รัสเซียไม่ยอมรับมากที่สุดข้อหนึ่งด้วย
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 1949 NATO เคยใช้อำนาจตามมาตรา 5 เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือการตอบโต้หลังเหตุโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2001 แต่กว่าที่ NATO จะเห็นชอบมาตรการตอบโต้ 8 ข้อก็ต้องรอจนถึงเดือน ต.ค. ซึ่งรวมถึงการเปิดปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้าย

มาตรการสนับสนุนสหรัฐฯ ของ NATO ในขณะนั้น สรุปคร่าวๆ มีทั้งการสนับสนุนปฏิบัติการโจมตี เช่น การสนับสนุนอาวุธ ยกระดับการเฝ้าระวังภัยคุกคามในประเทศสมาชิกอื่นๆ เปิดน่านฟ้า สนามบินและท่าเรือให้พันธมิตรใช้งาน รวมถึงการยกระดับความร่วมมือด้านข่าวกรอง และเพิ่มความมั่นคงให้กับพันธมิตร
แต่การรับประกันความมั่นคงให้ยูเครน โดยอาศัย Concept ตามมาตรา 5 มีข้อจำกัดคือ ประเทศต่างๆ ที่สนใจจะต้องมาตกลงกันในรายละเอียดว่า ขอบเขตของการปกป้องจะอยู่ตรงไหน ใครจะให้คำมั่นอะไรบ้าง และเมื่อยูเครนถูกโจมตี ประเทศที่ตกลงว่าจะช่วย จะช่วยจริงๆ ได้มากแค่ไหนและจะเข้ามาช่วยได้เร็วแค่ไหน
ยังไม่นับรวมไปถึงกรณีหากมาตรการที่ออกมาเหมือนกับมาตรา 5 จริง รัสเซียจะยอมรับได้จริงหรือไม่ แต่หากยอมรับ อาจเป็นเพราะรัสเซียเล็งเห็นถึงข้อจำกัดและจุดบอดเหล่านี้ และคาดว่าประเทศต่างๆ จะไม่ทำตามคำมั่นที่ให้ไว้หรือไม่
ขณะนี้ ผู้นำยุโรปบางคนวาดฝันว่าประเทศที่จะเข้ามารับประกันความมั่นคงให้กับยูเครน อาจมีมากกว่าแค่ชาติในยุโรปและสหรัฐฯ แต่โจทย์ใหญ่อาจไม่ใช่การกำหนดเงื่อนไขและหาประเทศมาลงนามข้อตกลง แต่เป็นการทำอย่างไรให้ข้อตกลงดังกล่าวมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีตัวอย่างให้เห็น เช่น การคว่ำบาตรรัสเซียตลอดช่วงมากกว่า 3 ปีที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ผล
อ่านข่าว
รัสเซียโจมตียูเครน ท่ามกลางความพยายาม "ทรัมป์" ผลักดันสันติภาพ
ทรัมป์ พบ เซเลนสกี หารือชื่นมื่น ยันสหรัฐฯ จะให้การรับประกันความมั่นคงแก่ยูเครน