วันนี้ (20 ส.ค.2568) CNN เล่าถึงเรื่องราวของ "อัน ฮัก-ซอบ" วัย 95 ปี อดีตทหารในกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ ผู้ถูกจองจำในเกาหลีใต้มานานกว่า 4 ทศวรรษ เนื่องจากยืนกรานที่จะไม่ละทิ้งความเชื่อทางการเมืองของตน ขณะนี้เขาร่างกายอ่อนแอลงจากความเจ็บป่วย และต้องนั่งรถเข็น ได้แสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะข้ามไปยังเกาหลีเหนือเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อไปใช้ชีวิตบั้นปลายและถูกฝังในแผ่นดินที่เขาเรียกว่า "บ้านเกิดของอุดมการณ์ของผม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK)"
อดีตสหายอัน ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ไปยังสะพานที่นำไปสู่เขตปลอดทหาร (DMZ) เพื่อร้องขออนุญาตข้ามเขตแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพรมแดนที่มีการตรึงกำลังทหารหนาแน่นที่สุดในโลก แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา อัน ถูกปฏิเสธโดยเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ ไม่ให้เดินทางข้ามไปเกาหลีเหนือ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและผู้ประท้วงที่เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้อนุญาต และ อัน ถูกส่งตัวกลับ เขาแสดงความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมกับชูธงเกาหลีเหนือ
ผมคิดถึงเกาหลีเหนือเหลือเกิน ทนไม่ไหวแล้ว ผมอยากถูกฝังในดินแดนเสรี
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้สั่งห้ามบุคคลติดต่อกับเกาหลีเหนือโดยไม่ได้รับอนุญาต และพลเรือนถูกจำกัดไม่ให้เข้าสู่เขต DMZ ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา เนื่องจากสงครามเกาหลีปี 1950-1953 สิ้นสุดลงด้วยการสงบศึก ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ

โซลยัน "กฎหมายความมั่นคง" เหตุผลไม่ส่งนักโทษกลับ
ทำให้ปัจจุบัน เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังคงอยู่ในภาวะสงครามกันทางเทคนิค นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังอ้างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ และการที่ไม่มีข้อตกลงใด ๆ กับกรุงเปียงยางที่จะอำนวยความสะดวกในการกลับมาของเขา ซึ่งทำให้การตัดสินใจของรัฐบาลโซลเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น เนื่องจากเกาหลีเหนือได้ระงับการสื่อสารทั้งหมดกับเกาหลีใต้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วหรือในปี 2023
สำหรับอดีตสหายอัน ประเด็นนี้มีความเป็นส่วนตัวและเป็นเรื่องของการดำรงอยู่มาก เขามองว่าเกาหลีใต้ยังคงอยู่ภายใต้ การยึดครองของสหรัฐอเมริกา และเขาได้พยายามต่อสู้กับสิ่งนี้มาตลอดชีวิต อัน ฮัก-ซอบ เกิดในปี 1930 บนเกาะคังฮวา ช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นปกครองคาบสมุทรเกาหลีอย่างโหดร้าย เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ในปี 1945 อันที่อายุ 15 ปี เขาไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่กลับรู้สึกถูกหักหลังจากการประกาศของ นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์ ที่ทำให้เกาหลีใต้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมทางทหารของอเมริกา เขากล่าวว่า เมื่อได้เห็นคำประกาศนั้น ก็ตระหนักได้ว่าเรายังไม่ถูกปลดปล่อย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มการเคลื่อนไหวต่อต้านสหรัฐฯ
อัน เข้าเป็นทหารในกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือในปี 1952 และถูกจับกุมในปี 1953 เมื่อสงครามเข้าสู่ทางตัน เขากล่าวว่าจากทหารสิบคนในหน่วย มีเพียงเขาเท่านั้นที่รอดชีวิต ภายใต้กฎหมายเกาหลีใต้ในขณะนั้น หากนายอันยอมลงนามในเอกสารสละสิทธิ์การเป็นพลเมืองเกาหลีเหนือและอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เขาก็จะมีสิทธิ์ได้รับทัณฑ์บน
แต่สหายอันเลือกปฏิเสธ จึงถูกจองจำในเกาหลีใต้อย่างยาวนานถึง 42 ปี 6 เดือน
4 ทศวรรษในเรือนจำและการปฏิเสธการทรยศ
อดีตสหายอัน บรรยายถึงช่วงเวลาในคุกว่าเป็นการทรมานที่ไร้การผ่อนปรน ไม่ใช่เพียงความยากลำบากทางกาย แต่เป็นแรงกดดันทางจิตใจให้ละทิ้งความเชื่อเรื่องคอมมิวนิสต์ของเขา นักโทษอัน อ้างว่าถูกลงโทษอย่างโหดร้าย ทั้งการทุบตีและการถูกปล่อยให้สัมผัสกับน้ำแข็ง แม้กระทั่งเมื่อมีการนำตัวเขากลับไปที่เกาะคังฮวาเพื่อพบกับพี่สาว ที่ร้องขอทั้งน้ำตาให้เขาสละทิ้งเกาหลีเหนือ แต่เขาก็ยังคงปฏิเสธ เขากล่าวถึงช่วงเวลานั้นว่าเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดมากจริง ๆ
เมื่อเขาได้รับการอภัยโทษในปี 1995 ในวันหยุดการปลดปล่อยเกาหลีใต้ อดีตนักโทษอัน บรรยายช่วงเวลานั้นด้วยความขมขื่น เขากล่าวว่าเขาเพียงแค่ย้ายจากเรือนจำเล็ก ๆ ที่ถูกปิดล็อก สู่เรือนจำที่เปิดกว้างและใหญ่ขึ้น แม้กระทั่งหลังจากนั้น เขาก็ยังคงถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดและถูกตำรวจติดตาม

ภารกิจยังไม่จบ เหตุผล "อัน" ไม่กลับโสมแดง
ในปี 2000 ช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างโซลและเปียงยาง เกาหลีใต้ได้อนุญาตให้นักโทษที่ไม่ยอมกลับใจ 63 คนเดินทางกลับสู่เกาหลีเหนือ อัน ได้รับโอกาสให้ข้ามพรมแดนเช่นกัน แต่เขาตัดสินใจอย่างเจ็บปวดที่จะอยู่ต่อ ผู้ที่เดินทางกลับไปเกาหลีเหนือได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ด้วยขบวนพาเหรดและป้ายผ้า แต่สำหรับนายอัน เขากล่าวว่าเขาเลือกที่จะอยู่ในดินแดนเกาหลีใต้ต่อไป เพราะภารกิจของเขายังไม่เสร็จสิ้น
อัน ยังคงเชื่อมั่นเสมอมาว่าเกาหลีใต้ยังคงเป็นอาณานิคมภายใต้อิทธิพลของอเมริกา เขากล่าวว่า ผมมาที่นี่ ที่เป็นอาณานิคมของสหรัฐฯ เพื่อต่อสู้กับสหรัฐฯ แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรับโทษในคุก แล้วผมจะกลับไปได้อย่างไร ผมรู้สึกละอายใจ
ถ้าผมจะตะโกนว่าอเมริกาออกไป ผมต้องทำจากที่นี่ เกาหลีใต้ ไม่ใช่จากเกาหลีเหนือ นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่กลับไป
ปัจจุบัน นายอันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ยงกัง-รี ห่างจากพรมแดนเกาหลีเหนือที่เขาใฝ่ฝันจะข้ามไปเพียงประมาณ 1.6 กิโลเมตร เขาต้องพึ่งพาสวัสดิการของรัฐสำหรับผู้มีรายได้น้อยและการดูแลจากเพื่อนบ้าน ผนังบ้านของเขาเต็มไปด้วยภาพถ่ายซีดจางและโปสเตอร์เกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงอุดมการณ์ที่หล่อหลอมชีวิตเขา และที่หน้าประตูบ้านของเขาคือพรมเช็ดเท้าลายธงชาติสหรัฐฯ
อัน ฮัก-ซอบ เป็นหนึ่งในนักโทษที่ภักดีต่ออุดมการณ์เดิมที่เหลืออยู่ 6 คนในเกาหลีใต้ ซึ่งได้ร้องขอที่จะกลับไปเกาหลีเหนือเมื่อไม่นานมานี้ องค์กรสิทธิมนุษยชนในเกาหลีใต้แสดงความเห็นใจต่อชะตากรรมของเขา แม้จะเข้าใจดีว่ารัฐบาลอาจไม่สามารถอนุญาตให้เขาข้ามแดนได้ง่าย ๆ เจ้าหน้าที่กระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้กล่าวว่า รัฐบาลกำลังทบทวน ทางเลือกต่าง ๆ จากมุมมองด้านมนุษยธรรม โดยระบุว่าการตัดสินใจใด ๆ ก็ตามจะต้องได้รับความร่วมมือจากกรุงเปียงยางด้วย
สำหรับอดีตสหายอัน การถูกปฏิเสธที่ชายแดนในวันนี้ ตอกย้ำสิ่งที่เขาเชื่อมาเกือบ 80 ปีที่ว่า ชะตากรรมของเขาผูกพันอยู่กับการแบ่งแยกที่คงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่การปรองดอง
ผมตั้งใจที่จะกลับไปยังบ้านเกิดของอุดมการณ์ผม เกาหลีใต้ จุดเริ่มต้นของชีวิตผม
อ่านข่าวอื่น :
ศบ.ทก.ยันคลิปทหารเขมรวาง PMN-2 ของจริง ซัดละเมิดออตตาวาร้ายแรง