วันนี้ (20 ส.ค.2568) นายมานพ คีรีภูวดล รองประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวหลังการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตร บริการ และการผลิตอาหาร หลังจากที่แรงงานกัมพูชาจำนวนมากทยอยกลับประเทศจากแรงกดดันของรัฐบาลกัมพูชา และปัญหาการต่ออายุวีซ่าของแรงงานเมียนมา
นายมานพระบุว่า ประเทศไทยพึ่งพาแรงงานต่างชาติจาก 3 ประเทศหลักตามข้อตกลงในอดีต ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา และลาว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุดพบว่าแรงงานกัมพูชากว่า 800,000 คน กลับไปยังประเทศตนเอง เนื่องจากแรงกดดันจากรัฐบาลกัมพูชา เหลือเพียงร้อยละ 20 หรือประมาณ 160,000 คนที่ยังคงอยู่ในไทย
ปัญหาคือ แรงงานกัมพูชาที่กลับไปแล้วพบว่าไม่มีงานทำในประเทศตนเอง จึงพยายามกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยบางส่วนอาจลักลอบเข้าผ่านช่องทางธรรมชาติ ท้าทายด้านความมั่นคงและการบริหารจัดการแรงงาน นายมานพยังเปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยต้องการแรงงานต่างชาติใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ดังนี้
- ก่อสร้าง ต้องการแรงงานกว่า 100,000 คน
- เกษตร ต้องการประมาณ 65,000 คน
- บริการ ต้องการ 48,000 คน
- เกษตรต่อเนื่อง ต้องการ 48,000 คน
- การผลิตอาหาร ต้องการประมาณ 30,000 คน
นายมานพเน้นว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข โดยคณะกรรมาธิการฯ มีแผนเข้าพบ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน ในวันที่ 8 ก.ย.2568 เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ
นายมานพระบุว่า แรงงานกัมพูชาที่กลับไปยังประเทศตนเองเผชิญปัญหาการว่างงาน ทำให้มีความพยายามกลับเข้ามาทำงานในไทย อย่างไรก็ตาม การกลับเข้ามานั้น ต้องผ่านกระบวนการที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องหารือกับ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อกำหนดแนวทางจัดการ คาดการณ์ว่า อาจมีการลักลอบเข้าประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น บริเวณชายแดนจันทบุรีและสระแก้ว ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนในการควบคุมและอาจกระทบต่อความมั่นคงชายแดน
สำหรับแรงงานเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในไทย (ประมาณ 2,900,000 คน ตามข้อมูล มิ.ย.2568) นายมานพชี้ว่า ปัญหาสำคัญคือการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน หรือ Certificate of Identity และการตรวจสุขภาพ
รัฐบาลเมียนมากำหนดให้แรงงานต้องกลับไปรายงานตัวที่ประเทศต้นทางเพื่อต่ออายุ แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา แรงงานจำนวนมากไม่ยอมเดินทางกลับ ทำให้อาจกลายเป็น แรงงานผิดกฎหมายในไทย นายมานพตั้งคำถามว่า เหตุใดไทยต้องยึดตามเงื่อนไขของรัฐบาลเมียนมาแต่เพียงฝ่ายเดียว และเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานพิจารณาลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้แรงงานไม่ยอมไปรายงานตัว
กมธ.มั่นคงฯ จี้แก้ปัญหาแรงงานด่วน
นายมานพยังเสนอว่า กระทรวงแรงงานควรมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนและตำแหน่งที่ตั้งของแรงงานที่ขาดแคลน เพื่อให้สามารถจัดสรรแรงงานภายในประเทศ หรือเปิดโอกาสให้แรงงานไทยเข้ามาทดแทน ยกตัวอย่าง กรณีการเก็บลำไยในภาคเหนือ ซึ่งเมื่อมีการประชาสัมพันธ์ว่างานนี้มีรายได้ดี ก็สามารถดึงดูดแรงงานไทยให้สมัครเข้ามาทำงานได้ การพึ่งพาแรงงานไทยจะช่วยลดปัญหาความมั่นคงที่อาจเกิดจากการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานการณ์ไม่แน่นอน
นอกจากนี้ นายมานพ ยังเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานเพิ่มการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเห็นโอกาสในงานที่เดิมพึ่งพาแรงงานต่างชาติ รวมถึงพัฒนาระบบบริหารจัดการแรงงานต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ วางแผนเข้าพบ รมว.แรงงาน ในวันที่ 8 ก.ย.2568 เพื่อหารือประเด็นสำคัญ 2 ส่วน
- การจัดการแรงงานกัมพูชาที่ต้องการกลับเข้ามาทำงานในไทย รวมถึงการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ
- การแก้ไขปัญหาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานเมียนมา โดยเฉพาะการลดภาระค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ยุ่งยาก
นายมานพย้ำว่า การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน รวมถึงกระทรวงแรงงาน สมช. และหน่วยงานความมั่นคง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถจัดการแรงงานต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมให้คนไทยมีส่วนร่วมในงานที่ขาดแคลนแรงงาน เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหาความมั่นคง