"ห่าน" เป็นสัตว์ปีกที่มีความสำคัญและมีประโยชน์หลายอย่างไม่แพ้ไก่หรือเป็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการเป็นผู้ช่วยธรรมชาติในการกำจัดวัชพืช ห่านเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ทนทานต่อสภาพแห้งแล้ง และไม่ค่อยเป็นโรค จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาพทั่วไปของประชาชนในต่างจังหวัด
การเลี้ยงห่านยังใช้เงินลงทุนต่ำ เนื่องจากห่านสามารถใช้ประโยชน์จากอาหารคุณภาพต่ำได้ดี เช่น พืชอาหารสัตว์ ตระกูลหญ้า ตระกูลถั่ว รวมถึงวัชพืชต่าง ๆ ด้วยนิสัยการกินพืชโดยธรรมชาติ ห่านชอบกินใบหญ้า เมล็ดพืช และวัชพืชหลากหลายชนิด โดยไม่ทำลายพืชสวนที่ปลูกไว้ สิ่งนี้ช่วยให้พื้นที่เลี้ยงสะอาด และลดการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์
นอกจากนี้ มูลของห่านยังสามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติสำหรับต้นไม้และพืชผัก และห่านยังมีความสามารถในการเฝ้าบ้านและป้องกันสัตว์ร้าย เช่น แมงป่อง ตะขาบ และงูได้อีกด้วย

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
อย่างไรก็ตาม การนำห่านมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการบำบัดน้ำในชุมชน ก็ได้เผยให้เห็นถึง ข้อจำกัดและความท้าทายที่สำคัญ กรณีศึกษาที่น่าสนใจเกิดขึ้นใน "คูเมืองเชียงใหม่" ซึ่งประสบปัญหาน้ำขุ่นเขียวจากจอกแหนและวัชพืชปกคลุม เทศบาลนครเชียงใหม่ได้ทดลองปล่อยห่าน 10 ตัว บริเวณแจ่งกู่เฮือง หรือบริเวณประตูเชียงใหม่ โดยมีแนวคิดที่จะใช้วิธีรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศตามธรรมชาติ

แต่ผลลัพธ์ในคืนแรกก็เกิดความวุ่นวายอย่างมาก ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Oil Kanyaporn เล่าว่า ห่านเหล่านี้ซึ่งถูกกักอยู่ในคอกไม้ไผ่ริมคูเมือง บางช่วงบางตอนตกใจ ก็วิ่งแตกตื่นลงไปบนถนน ทำให้เกือบเกิดอุบัติเหตุกับรถที่สัญจรไปมา เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ทั้งโยนหิน ไล่ต้อน เพื่อไล่ฝูงห่านกลับเข้าคอก เหตุการณ์นี้ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการนำสัตว์มาเลี้ยงในที่สาธารณะ และความปลอดภัยหากโครงการปล่อยห่าน 200 ตัวตามแผนเดิมจะเกิดขึ้น ผู้โพสต์เหตุการณ์ยังระบุด้วยว่าสถานการณ์ในคืนแรกนั้น "อลหม่าน" และ "พินาศมาก"

เฟซบุ๊ก Oil Kanyaporn
เฟซบุ๊ก Oil Kanyaporn
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นถึง "ข้อควรระวัง" ที่สำคัญในการใช้ห่านในพื้นที่ชุมชน
- ความเสี่ยงต่อสาธารณะ ห่านที่ตกใจอาจวิ่งหนีขึ้นถนน ทำให้เกิดอันตรายต่อการจราจรและประชาชนได้
- ความยุ่งยากในการจัดการ การไล่ต้อนห่านในพื้นที่เปิดกว้างและมีคนพลุกพล่านเป็นเรื่องยากและอาจต้องใช้กำลังคนและเวลามาก
- เสียงดังรบกวน ห่านสามารถส่งเสียงร้องได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญต่อผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง
- สิ่งปฏิกูล มูลห่านในปริมาณมากอาจสร้างความสกปรกและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคในพื้นที่สาธารณะได้ หากไม่มีการจัดการที่ถูกสุขลักษณะ
- กฎระเบียบท้องถิ่น เทศบัญญัติบางแห่ง เช่น เทศบาลตำบลฟ้าหยาด กำหนดให้การเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์รวมถึงห่านในเขตเทศบาลต้องมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยเจ้าของสัตว์ต้องจัดให้มีสถานที่เลี้ยงที่มั่นคงแข็งแรง ถูกสุขลักษณะ มีระบบระบายน้ำและกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ดี และป้องกันไม่ให้สัตว์ก่อความเดือดร้อนรำคาญหรืออันตรายต่อผู้อื่น สำหรับฟาร์มขนาดใหญ่หรือเลี้ยงจำนวนมาก ยังมีข้อกำหนดระยะห่างจากชุมชน ศาสนสถาน โรงพยาบาล และแหล่งน้ำสาธารณะด้วย
- โรคภัย ห่านเช่นเดียวกับสัตว์ปีกอื่น ๆ มีความเสี่ยงต่อโรคบางชนิด เช่น โรคอหิวาต์เป็ดไก่ และโรคดั๊กเพล็ก หรือกาฬโรคเป็ด ซึ่งต้องมีการทำวัคซีนเพื่อป้องกัน

เฟซบุ๊ก Oil Kanyaporn
เฟซบุ๊ก Oil Kanyaporn
ในปัจจุบัน การเลี้ยงห่านยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักในประเทศไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อห่าน เช่น เชื่อว่าเป็นอาหารแสลงที่ทำให้ผู้ชายเป็นโรคเรื้อน หรือผู้หญิงเป็นโรคผิดกระดูกอ่อน และบางคนยังมองว่าเป็นอาหารสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้น แม้ว่ากรมปศุสัตว์จะชี้ว่าโรคดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเนื้อห่าน และการขาดแคลนโปรตีนในปัจจุบันอาจทำให้ห่านเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกที่มีประโยชน์ แต่ความนิยมก็ยังไม่สูงเท่าสัตว์ปีกชนิดอื่น

หากพิจารณาถึงข้อจำกัดและความท้าทายในการใช้ห่านในพื้นที่ชุมชนเพื่อการบำบัดน้ำแล้ว เอกสาร ระบบพืชน้ำผสมผสานเพื่อบำบัดน้ำเสียชุมชนที่มีสารเภสัชกรรมตกค้าง โดย น.ส.มนัสนันท์ แย้มมนัส ได้เสนอทางเลือกอื่น ๆ ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็กำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ระบบพืชน้ำผสมผสาน" ที่ใช้ในการบำบัดน้ำเสียชุมชนที่มีสารเภสัชกรรมตกค้าง ระบบนี้มีส่วนประกอบหลัก คือ
แหน - เป็นพืชลอยน้ำขนาดเล็กที่เจริญเติบโตได้ดีในน้ำนิ่งที่มีธาตุอาหารสมบูรณ์ แหนมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำเสียโดยการดูดซับธาตุอาหารไปใช้ในการเจริญเติบโต
ตัวกลางพลาสติก - ทำมาจากขวดน้ำพลาสติกที่ใช้แล้ว ทำหน้าที่เป็นพื้นผิวให้แบคทีเรียชีวภาพ (Biofilm) เกาะอาศัยและเจริญเติบโตเพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย
หลอดไฟแอลอีดี (LED) สีแดง - ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของสาหร่ายและแบคทีเรียชีวภาพบนตัวกลางพลาสติก แสงสีแดงมีความยาวคลื่นที่เหมาะสมต่อการสังเคราะห์แสงของพืช ทำให้มีการผลิตออกซิเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจุลินทรีย์ในการย่อยสลายสารอินทรีย์และสารมลพิษ

จากการศึกษาพบว่า ระบบพืชน้ำผสมผสานนี้มีประสิทธิภาพสูง สามารถลดค่าซีโอดี (COD) ได้สูงถึงร้อยละ 70.07 เมื่อมีการติดตั้งหลอดไฟ LED สีแดง เทียบกับ ร้อยละ 54.88 ในระบบที่ไม่มีหลอดไฟ LED มีประสิทธิภาพในการลดสารแขวนลอย, แบคทีเรียโคลิฟอร์ม (Coliform Bacteria) และไนโตรเจนทั้งหมดได้ดี
ที่สำคัญคือสามารถกำจัดสารเภสัชกรรมตกค้างที่ย่อยสลายได้ยากอย่างซัลฟาเมโทซาโซลได้มากกว่าร้อยละ 99 ซึ่งเป็นผลจากปฏิกิริยาของแบคทีเรีย การดูดซับของแหนและสาหร่าย รวมถึงการตกตะกอนของยา

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
นอกจากระบบพืชน้ำผสมผสานแล้ว เทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำริยังมีอีกหลายประเภทที่ใช้หลักการธรรมชาติช่วยธรรมชาติ เช่น
- ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย ที่ประกอบด้วยบ่อตกตะกอน บ่อผึ่ง และบ่อปรับสภาพ
- ระบบพืชและหญ้ากรองน้ำเสีย ที่ให้พืชช่วยดูดซับธาตุอาหารและดินเป็นตัวกรอง
- ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม ที่ใช้หลักการคล้ายกันแต่มีการกักน้ำเสียไว้
- ระบบแปลงพืชป่าชายเลน ที่ใช้การเจือจางด้วยน้ำทะเลและรากพืชป่าชายเลนช่วยเติมออกซิเจนและดูดซับสารปนเปื้อน
แม้ "ห่าน" จะมีศักยภาพที่ดีในการกำจัดวัชพืชและจอกแหนในบางสภาพแวดล้อม แต่การนำมาใช้ในพื้นที่สาธารณะของชุมชนจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงข้อควรระวังด้านความปลอดภัย
การจัดการ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในขณะที่นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น ระบบพืชน้ำผสมผสาน และเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียตามธรรมชาติแบบอื่น ๆ ก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและสามารถจัดการได้ดีกว่าในบริบทของชุมชนเมืองยุคใหม่ เพื่อเป้าหมายในการมีแหล่งน้ำสะอาดและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ที่มาข้อมูล : การเลี้ยงห่าน กรมปศุสัตว์, ระบบพืชน้ำผสมผสานเพื่อบ้ำบัดน้ำเสียชุมชนที่มีสารเภสัชกรรมตกค้าง โดย น.ส.มนัสนันท์ แย้มมนัส, เทศบัญญัติ เรื่อง ควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ.2565
อ่านข่าวอื่น :