วันนี้ (27 ส.ค.2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ "บิ๊กเต่า" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมาว่าได้รับหนังสือร้องเรียนเรียบร้อยแล้ว และจะส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามระเบียบและกฎเกณฑ์ โดยย้ำว่าทุกคนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมีสิทธิ์ร้องเรียน
ทั้งนี้ นายภูมิธรรมกล่าวว่าไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับกรณีของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ซึ่งเคยได้รับการเลื่อนตำแหน่งแบบฟาสต์แทร็ก จากรองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เป็น ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) การเลื่อนตำแหน่งครั้งนั้นอาจเป็นเงื่อนไขที่ทำให้คณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งไม่เห็นชอบหรือไม่ ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบประวัติและข้อเท็จจริง

เมื่อถูกถามถึงผลงานของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ที่ระบุว่าทำงานหนักและมีผลงานในคดีสำคัญ นายภูมิธรรมยอมรับว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เป็นคนทำงานหนักและมีผลงานเด่นในหลายคดี ซึ่งเห็นได้จากความชัดเจนในคดีที่รับผิดชอบช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาการแต่งตั้งต้องยึดตาม ระเบียบและกฎเกณฑ์ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
เปิดจดหมาย "บิ๊กเต่า" วอน "ภูมิธรรม" ให้ความเป็นธรรม
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2568 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจประจำปี 2568 อย่างเป็นธรรม โดยประเด็นหลักที่ร้องเรียน ได้แก่
1.ขาดความโปร่งใสและเป็นธรรม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่าตนมีคุณสมบัติครบถ้วนตามบัญชีอาวุโสและควรได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง แต่กลับพบว่าการคัดเลือกบางรายไม่มีผลงานเด่นชัด แต่ได้รับการแต่งตั้ง ในขณะที่ผู้ปฏิบัติงานจริงกลับถูกมองข้าม
2.การละเลยผลงานและความสามารถ การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในครั้งนี้ถูกมองว่ายึดหลักอาวุโสเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถและผลงานที่ปรากฏ ทำให้ข้าราชการตำรวจน้ำดีถึง 38 นาย ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ แต่กลับถูกตัดออกจากการพิจารณา
3.ขัดต่อเจตนารมณ์ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ชี้ว่าการดำเนินการดังกล่าว เป็นการใช้อำนาจที่ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม และขัดต่อกฎหมายที่มุ่งเน้นระบบคุณธรรมและหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ต้องคำนึงถึงทั้งอาวุโส ความรู้ความสามารถ และผลงานประกอบกัน โดยเปรียบเสมือนเป็น "ระบบอุปถัมภ์เชิงผลประโยชน์"
4.การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์โดยกะทันหัน ในตอนแรกมีการจัดทำร่างหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา เพื่อให้การคัดเลือกเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม ตรวจสอบได้ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่ต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งชะลอการใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลเรื่องกรอบเวลาที่กระชั้นชิด และจำนวนผู้ที่จะเข้ารับการสัมภาษณ์มีจำนวนมาก
5.ผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจ การพิจารณาที่ละเลยผลงานและความสามารถนี้ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเสียขวัญและกำลังใจ และในระยะยาวอาจบั่นทอนประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กรตำรวจ และทำให้เจตนารมณ์ในการปฏิรูปตำรวจไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ จึงได้เรียกร้องให้ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมาย กฎ ระเบียบ และคำสั่งที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยให้โอกาสข้าราชการตำรวจทุกนายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีผลการปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และสังคม ได้รับการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจและประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรตำรวจโดยรวม



อ่านข่าวอื่น :
ชาวอิสราเอลประท้วงเรียกร้องเนทันยาฮูหยุดยิง-ช่วยตัวประกันกลับบ้าน