วันนี้ (28 ส.ค.2568) ส้มโอพันธุ์ทองดี ขาวใหญ่ เซลเลอร์ และทับทิมสยาม ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของเวียงแก่น ปลูกกว่า 10,000 ไร่ ปกติขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท แต่ปีนี้ราคาตกเหลือเพียง 10 บาท เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเพียง 30,000 บาทต่อไร่ เมื่อหักค่าใช้จ่าย 10,000 บาท จะเหลือกำไรเพียง 20,000 บาทต่อไร่ ลดลงจากปีก่อนที่เคยได้กำไรถึง 50,000 บาท คิดเป็นรายได้ที่หายไปเกือบร้อยละ 60
ด้านการส่งออก ส้มโอคัดเกรดที่เคยส่งไปเวียดนามกลับไม่สามารถส่งได้ ส่วนพันธุ์ทองดีที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ ปีนี้ล้งรับซื้อในพื้นที่ได้รับออเดอร์ลดลงกว่าครึ่ง จากเดิมที่เคยสั่งซื้อจำนวนมาก จุฬาลักษณ์ ชัยราช ล้งรับซื้อส้มโอส่งออก ระบุว่า ปีนี้เหลือเพียง 50 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 100,000 กิโลกรัม ไปยังตลาดฮ่องกงและจีน ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ส่งออกและเกษตรกร
นายชวลิต บุญทัน ประธานส้มโอแปลงใหญ่เวียงแก่น เปิดเผยว่า เกษตรกร 1 ไร่ ปลูกส้มโอได้ 25-30 ต้น ลงทุนดูแลรักษาเฉลี่ย 5,000-10,000 บาท/ไร่ ได้ผลผลิตเฉลี่ย 3,000 กิโลกรัม/ไร่ แต่เมื่อราคาตกต่ำเช่นนี้ ทำให้เกษตรกรจำนวนมากขาดทุนหรือแทบไม่เหลือกำไร
แม้ส้มโอเวียงแก่นจะมีจุดเด่นคือรสหวานอมเปรี้ยว เปลือกหนาเก็บรักษาได้นาน และได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP และ GMP รวมถึงมีชื่อเสียงมากว่า 30 ปี แต่สถานการณ์ราคาตกต่ำและการส่งออกที่สะดุดในปีนี้ กำลังเป็นบททดสอบครั้งใหญ่สำหรับเกษตรกรในพื้นที่
อ่านข่าวอื่น :
มท.1 นำทีมบุกทลาย "บ่อนดอนเมือง" เงินหมุนเวียนหลายล้านบาท
สหรัฐฯ เร่งสอบเหตุกราดยิงในโรงเรียนประถม เสียชีวิต 2 เจ็บ 17