พรรคประชาชน หยิบวิธีการลงนามข้อตกลงทางการเมืองเป็นลายลักษณ์อักษร โดยเรียกว่า "Agreement-politics" มายื่นเป็นเงื่อนไข เพื่อแลกกับเสียงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ซึ่งเวลานี้ ทั้งพรรค "เพื่อไทย และ ภูมิใจไทย" ต่างก็ตอบรับพร้อมปฏิบัติตาม
แต่ในภาวะที่พรรคประชาชนกำลังเป็นพรรค "ตัวแปร" ในการสมการการเมือง จนกลายเป็นพรรคเนื้อหอม ก็มีคำถามถึง "การบริหารหลักการและอุดมการณ์" เพราะบนเส้นทางการเมือง เกือบ 10 ปีนี้ พรรคส้มถูกลดโทนสีลงเรื่อยๆ และครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์
จะเรียกว่า "TOR" หรือ MOU หรือจะเรียกว่า "agreement" ยังไง..เวลานี้ ในทางการเมือง ก็หมายความว่า "เงื่อนไขและข้อตกลง" ที่ฝ่ายการเมืองหยิบมาจัดทำเป็น "ข้อตกลงทางการเมือง" โดยจะเป็นบันทึกแนวทางปฏิบัติและลงนามร่วมกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะต่อประชาชน ซึ่ง รศ.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะยกระดับมารยาทและความรับผิดชอบทางการเมืองให้สูงขึ้น
รศ.อรรถสิทธิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า โดยความเป็นจริงแล้ว การเมืองไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมี "สัจจะ" แต่ที่ผ่านมา กลับไม่เคยเห็นเลย ที่ฝ่ายการเมืองจะรักษาคำพูด หรือข้อตกลง
ขณะที่ ศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ชี้ว่าจะเป็นการยกระดับ มารยาทและความรับผิดชอบทางการเมืองให้สูงขึ้น เพราะเมื่อก้าวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ประชาชนโดยทั่วไปจะหยิบยกข้อตกลงทางการเมืองมาประเมินเป็นทางเลือกในการเลือกตั้ง

พรรคเพื่อไทย เปรียบเสมือนเป็น "แผลเก่า" ของพรรคประชาชน เมื่อครั้งลงนาม "เอ็มโอยู" จัดตั้งรัฐบาล ส่วน "agreement" จะเป็นแผลใหม่กับใคร พรรคไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกโหวตสนับสนุนแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย หรือของพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 หรือท้ายที่สุดจะไม่เลือกใคร-ฝ่ายไหนเลย ก็เป็นไปได้ เพราะเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา คือประสบการณ์ของพรรคประชาชน และครั้งนี้เป็นการเลือกตัดสินอนาคตของตัวเอง
จากรุ่น..สู่รุ่น "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" พรรคอนาคตใหม่ นำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง ปี 2562 พิสูจน์การก่อเกิดขึ้นได้ แต่ไม่สามารถถือธงนำได้ เหตุจากคุณสมบัติโยงถึงคดียุบพรรค ก่อนสับมือเปลี่ยนเป็นพรรคก้าวไกล และแม้จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ปี 2566 มาเป็นอันดับ 1

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
แต่ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรครุ่นที่ 2 ถูกผูกติดกับหลักการเสนอแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่สามารถ "บริหารชัยชนะ" เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ได้ เพราะแทบทุกพรรคปฏิเสธร่วมอุดมการณ์และร่วมงานด้วย
จึงเป็นโอกาสให้พรรคอันดับ 2 หรือพรรคเพื่อไทย ฉีก "เอ็มโอยู" บิดพลิ้วข้อตกลง ก่อนเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลเองและนี่ คือ "แผลเก่า" ของพรรคประชาชน
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ทั้งคนและพรรคพ้นสภาพไป ด้วยข้อกล่าวหา "ล้มล้างการปกครอง" และกลายเป็นพรรคประชาชนในปัจจุบันกับแกนนำพรรครุ่นที่ 3 "ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" พร้อมกับดัก คำร้อง 44 สส.ก้าวไกล กรณีเสนอแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112
ย้อนกลับนับแต่เริ่มต้น ถึงจังหวะทางการเมืองในเวลานี้ พรรคประชาชนกำลังเป็นพรรค "ตัวแปร" ในสมการการเมือง และกลายเป็นพรรค "เนื้อหอม" ให้วิ่งเข้าหา จึงถือโอกาสยื่นเงื่อนไข ทางหนึ่งเป็นข้อตกลงทางการเมือง อีกทางหนึ่งคือการแสดงออกถึงหลักการของพรรค

ข้อตกลงทางการเมืองครั้งนี้ อาจเป็นจุดชี้ขาดเส้นทางการเมืองของพรรคประชาชนเองด้วย เพราะนับแต่อนาคตใหม่เป็นก้าวไกล และเป็นพรรคประชาชนในปัจจุบันนี้ เกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งชุดความคิดและทั้งผู้นำพรรค ถูกลดทอนเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
แม้แต่หลักการ เรื่องการปฏิรูปจากที่ "พร้อมหัก โดยไม่ยอมงอ" ก็กลายเป็น "การพัฒนา" ค่อยเป็น-คอยไป จะด้วยเรื่องสถาบัน กองทัพ หรือระบบราชการ หรือแม้แต่กลไกทางการเมือง
จังหวะในสถานการณ์การเมืองเวลานี้ ถือเป็นกระจกสะท้อนตัวตนของพรรคประชาชนอีกครั้ง ว่าจากอดีตถึงปัจจุบัน จะบริหารหลักการและอุดมการณ์อย่างไร หรือท้ายที่สุดต้อง "ลิ่วลม" ไหลตามบริบทแวดล้อม เพื่อพาตัวเองให้ "รอด" จากกับดักการเมือง และเป็นไปได้พรรคประชาชนไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครเพื่อบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
อ่านข่าว :
โหวตนายกฯ ไม่ทัน 3 ก.ย. "วันนอร์" คาดเป็นไปได้ช่วง 4-5 ก.ย.
เพื่อไทยโปรโมต "ชัยเกษม" แคนดิเดตนายกฯ ชูยึดหลักนิติรัฐ-แก้ รธน. 60
“เดชอิศม์” ปิดประตูดีล “ภูมิใจไทย” ตั้งรัฐบาล ถ้าทำก็ไม่เหลือความเป็นคน