ตั้งแต่ปี 2565 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHSB) ได้ประกาศให้การคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดเป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สิทธิบัตรทอง 30 บาท) นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการตรวจคัดกรองที่กระทรวงสาธารณสุขผลักดันในปีเดียวกัน โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHSO) คาดการณ์ว่าจะมีทารกกว่า 550,000 คน/ปี ได้รับการตรวจฟรี เพื่อค้นหาความบกพร่องทางการได้ยินแต่เนิ่น ๆ
ความบกพร่องทางการได้ยิน พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดประมาณ 1-3 คนต่อ 1,000 คนทั่วโลก และในประเทศไทยพบ 1.7 คนต่อ 1,000 ประชากร 1 ใน 3 มีปัญหาการได้ยินที่รุนแรง การได้ยินคือพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ภาษาพูด พัฒนาการทางสติปัญญา และการเข้าสังคมของเด็ก การตรวจพบและให้การช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของเด็ก
ทำไมการคัดกรองจึงสำคัญ ?
การได้ยินที่สมบูรณ์เป็นหัวใจสำคัญของพัฒนาการทางภาษาและสมอง โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต หากการได้ยินมีปัญหา เด็กอาจมีพัฒนาการล่าช้า ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และการเข้าสังคม การคัดกรองเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้พ่อแม่รู้ความผิดปกติได้ก่อนจะสังเกตเห็นอาการล่าช้า และ งานวิจัยของ NIH ยืนยันว่าการวินิจฉัยและฟื้นฟูตั้งแต่ก่อน 6 เดือน จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
หลักมาตรฐานสากล "1-3-6"
สมาคมการพูด-ภาษาและการได้ยินแห่งอเมริกา แนะนำมาตรฐานสากลหลัก "1-3-6" เพื่อโอกาสพัฒนาการที่ดีที่สุดของลูกน้อย
- คัดกรองทารกทุกคนภายในอายุ 1 เดือน (รพ.ราชวิถี แนะนำภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด)
- หากไม่ผ่านการคัดกรอง ขอให้ได้รับการวินิจฉัยยืนยัน ภายในอายุ 3 เดือน
- หากพบว่ามีการสูญเสียการได้ยิน ต้องเริ่มรักษาและฟื้นฟู ภายในอายุ 6 เดือน
การคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิด มักใช้วิธีตรวจทางสรีรวิทยาโดยไม่เป็นอันตรายต่อทารกแรกเกิด
1.Otoacoustic Emissions (OAE) เป็นการตรวจเพื่อประเมินการทำงานของหูชั้นใน (Cochlea) หรือเซลล์ขนหูส่วนนอก โดยจะมีการใส่หัวตรวจขนาดเล็กที่มีลำโพงส่งเสียงและไมโครโฟนรับเสียงสะท้อนกลับเข้าไปในช่องหู หากหูชั้นในทำงานปกติ จะมีการสร้างเสียงสะท้อนออกมา การตรวจ OAE ทำได้ง่าย รวดเร็ว และไม่เจ็บปวด อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่สามารถตรวจพบภาวะประสาทหูทำงานผิดปกติ (Auditory neuropathy) ได้
2.Automated Auditory Brainstem Response (AABR) เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองส่วนก้านสมองอัตโนมัติ โดยใช้หูฟังส่งเสียงไปยังหูของทารก และติดเซนเซอร์ขนาดเล็กไว้บนศีรษะและใกล้ใบหูเพื่อวัดการตอบสนองของเส้นประสาทการได้ยินและสมอง การตรวจ AABR สามารถช่วยตรวจจับภาวะประสาทหูทำงานผิดปกติได้ดี มักแนะนำให้ใช้ในทารกกลุ่มเสี่ยง หรือหากทารกไม่ผ่านการตรวจ OAE ในครั้งแรก
บางโรงพยาบาลอาจใช้การคัดกรองแบบ 2 ขั้นตอน คือ OAE ก่อน แล้วตามด้วย AABR หากไม่ผ่าน

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
หากลูกไม่ผ่านการคัดกรอง "หูหนวก" จริงหรือ ?
การที่ลูกน้อยไม่ผ่านการคัดกรองการได้ยิน "ไม่ได้แปลว่าหูหนวกเสมอไป" คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลมากเกินไป The Children's Hospital of Philadelphia บอกถึงสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ มีน้ำคร่ำ ขี้หู หรือสิ่งอุดตันในช่องหู ทารกร้องไห้หรือดิ้นระหว่างการตรวจ ทำให้ผลไม่ชัดเจน หรือการวางหัวตรวจไม่พอดี อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องพาเด็กไปตรวจติดตามผลโดยเร็วที่สุด นักโสตสัมผัสวิทยาจะตรวจด้วย OAE และ ABR/ASSR ที่ละเอียดขึ้น หากผลยืนยันว่ามีการสูญเสียการได้ยินจริง อาจมีการส่งต่อไปพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก (ENT) เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
แม้ทารกจะผ่านการคัดกรองแรกเกิด แต่เด็กบางคนอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหูตึงภายหลังได้ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวหูตึงตั้งแต่เด็ก, ต้องดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด (NICU) นานกว่า 5 วัน, ได้รับยาบางชนิดที่มีผลต่อประสาทหู, มีภาวะตัวเหลืองที่รุนแรงจนต้องเปลี่ยนถ่ายเลือด, มีการติดเชื้อในครรภ์ เช่น ไวรัส CMV, หรือมีความผิดปกติทางโครงสร้างของใบหน้าและกะโหลกศีรษะ คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตพัฒนาการของลูกอย่างใกล้ชิด และปรึกษาแพทย์หากมีข้อกังวลใด ๆ
เมื่อลูกสูญเสียการได้ยิน พ่อแม่ควรปฏิบัติอย่างไร ?
หากทารกได้รับการวินิจฉัยว่ามีการสูญเสียการได้ยิน การฟื้นฟูที่รวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทางเลือกในการรักษาและการฟื้นฟู ได้แก่
- เครื่องช่วยฟัง สำหรับเด็กที่มีภาวะหูตึงระดับปานกลางถึงมาก การใส่เครื่องช่วยฟังทั้ง 2 ข้างภายในอายุ 6 เดือน จะช่วยให้พัฒนาการด้านภาษาและการได้ยินใกล้เคียงกับเด็กปกติ
- ประสาทหูเทียม สำหรับเด็กที่มีภาวะหูตึงรุนแรงถึงหูหนวกที่ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้ผล โดยที่ สปสช. มีนโยบายครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมสำหรับทารกแรกเกิดที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินตั้งแต่เดือนธ.ค.2563
- การฝึกฟัง-พูด การทำกายภาพบำบัดทางการได้ยินและภาษาพูดควบคู่ไปกับการใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
คุณพ่อคุณแม่ จะเป็นบุคคลมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลและสนับสนุนพัฒนาการของลูก การได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และเข้าใจง่ายตั้งแต่แรกเป็นสิ่งจำเป็น แม้การที่ลูกไม่ผ่านการคัดกรองจะทำให้เกิดความกังวลใจก็ตาม
และบุคลากรทางการแพทย์ควรให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึก เพื่อลดความเข้าใจผิดและสร้างทัศนคติเชิงบวก การสื่อสารที่เปิดเผยและข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับขั้นตอนการตรวจ สาเหตุที่เป็นไปได้ และทางเลือกในการช่วยเหลือ จะช่วยให้พ่อแม่พร้อมรับมือและตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของลูกน้อย และการให้ข้อมูลตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดความเข้าใจผิด
ที่มาข้อมูล : The Children's Hospital of Philadelphia, สปสช., สมาคมการพูด-ภาษาและการได้ยินแห่งอเมริกา, NIH
อ่านข่าวอื่น :
"คิม จอง-อึน" นั่งรถไฟหุ้มเกราะเยือนปักกิ่ง ร่วมพิธีสวนสนามจีน
ตร.ตั้งข้อสังเกต “หมอบี” หาช่องทางพ้นผิดโอนทรัพย์สินให้คนใกล้ชิด