วันนี้ (3 ก.ย.2568) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิด เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญคือการเพิ่มสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม 3 ชนิดเข้าเป็นบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองที่เป็นสัตว์น้ำ ได้แก่ วาฬหลังค่อม เป็นลำดับที่ 22, วาฬเบลนวิลล์ เป็นลำดับที่ 23, และโลมาริสโซ เป็นลำดับที่ 24
นายอรรถพล กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้จะทำให้สัตว์ทั้ง 3 ชนิดได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ซึ่งหมายความว่า ห้ามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาต และต้องกระทำเพื่อกิจการสวนสัตว์เท่านั้น การมีไว้ในครอบครองก็จำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตเช่นกัน

วาฬและโลมาทั้ง 3 ชนิดนี้ มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล แต่จำนวนประชากรมีแนวโน้มลดลงอย่างน่าเป็นห่วง เพราะมักประสบเหตุติดเครื่องมือประมงโดยบังเอิญจนได้รับบาดเจ็บหรือตาย การสัญจรทางทะเล รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะถูกล่าเพื่อนำไปจัดแสดงในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม การขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองจะช่วยหยุดยั้งภัยคุกคามเหล่านี้ได้ และยังสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
ทดลองใช้ "เสียง" ลดผลกระทบสัตว์ทะเลติดเครื่องมือประมง
ปัจจุบันกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมประมง ได้ทดลองนำเอาเทคโนโลยีด้านเสียง วัสดุศาสตร์ และการลาดตระเวนทางอากาศแบบอัตโนมัติ มาปรับใช้เพื่อลดผลกระทบจากการติดเครื่องมือประมง การสัญจรทางทะเล ตลอดจนการป้องปรามความเสี่ยงจากการถูกล่า ซึ่งเป็นนวัตกรรมการทำงานเชิงป้องกันทีจะลดภัยคุกคามดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำงานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรแจ้งการเพิ่มสถานะความคุ้มครองนี้ให้ประเทศสมาชิก CITES ทราบ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการแสดงบทบาทที่แข็งขันของประเทศไทยในเวทีระดับโลก
นายอรรถพล กล่าวว่า มติ ครม.ครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการปกป้องและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล และส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลสัตว์ป่าที่กำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสูญพันธุ์
ทช.ลุยสำรวจวาฬ-โลมา
ขณะที่นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินภารกิจในการสำรวจการแพร่กระจายของวาฬและโลมา รวมถึงการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทะเลหายากที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล ตรวจตราเฝ้าระวัง และรับแจ้งการพบเห็นสถานการณ์สัตว์ทะเลหายาก ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือและรักษาพยาบาล

แม้ว่าวาฬและโลมาทั้ง 3 ชนิดนี้ จะไม่ได้เป็นสัตว์ประจำถิ่นของประเทศไทย แต่ก็มีรายงานการพบเห็นในน่านน้ำไทย โดยวาฬหลังค่อมและวาฬเบลนวิลล์ มีการเก็บข้อมูลการพบเห็นการเกยตื้น และการแพร่กระจายตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 เคยสำรวจพบที่อ่าวปอ จ.ภูเก็ต
ขณะที่โลมาริสโซ มีรายงานการเกยตื้นระหว่างปี 2546–2565 ถึง 11 ครั้ง ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทยในหลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต ระยอง นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และตรัง สะท้อนว่าสัตว์ทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นสัตว์อพยพระยะไกลที่พบได้ทั่วภูมิภาค
การเพิ่มเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองจึงมีส่วนช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลไทย อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าในตลาดโลก และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการอนุรักษ์สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ตลอดจนกระตุ้นให้ชุมชนและประชาชนเกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ดูแลแหล่งอาหารและถิ่นอาศัยไม่ให้เสื่อมโทรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

อ่านข่าว : เปิดแผนรองรับ “ลิง 541 ตัว” วัดพระบาทน้ำพุ ในวันเผชิญวิกฤตศรัทธา
ปลูกครบ 3 เดือน "ปะการังเกาะราชาใหญ่" จุดอ่าวสยามอัตรารอด 95.55%
“พิทักษ์ป่า” ปรับแผนลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา หลังพบทุ่นระเบิดใหม่
แท็กที่เกี่ยวข้อง: