เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2568 หลังพรรคภูมิใจไทยเตรียมผลักดันโครงการคนละครึ่งในรูปแบบปรับปรุงใหม่ เพื่อเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นทันทีหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนแรกหลังการแถลง นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคได้หารือถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยหนึ่งในนั้นคือการนำโครงการคนละครึ่งกลับมาใช้ในรูปแบบที่อัพเกรดจากเดิม เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนและร้านค้า ด้วยการใช้ระบบเดิมที่มีอยู่เพื่อให้เริ่มใช้งานได้ทันที
อ่านข่าว : "สิริพงศ์" รับจ่อฟื้นนโยบายคนละครึ่ง หวังกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
จากการสำรวจของทีมข่าวไทยพีบีเอสที่ตลาดบ้านหนองคอก อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา พบว่าร้านค้าชุมชนบ้านเกาะลอยและพ่อค้าแม่ค้าต่างตื่นเต้นกับข่าวการฟื้นฟูโครงการคนละครึ่ง นายพัชร์บท ตั้งมา เจ้าของร้านค้าชุมชนบ้านเกาะลอย ระบุว่าในช่วงที่มีโครงการคนละครึ่งสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอดขายของร้านเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากประชาชนออกมาจับจ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ร้านค้ามีกำไรและมีรายได้เพิ่ม
เช่นเดียวกับนางกัญญาภัทร ทองโชติฉัตร แม่ค้าร้านของฝากท่าเทียบเรือเกาะลอย อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่กล่าวว่าโครงการคนละครึ่งในอดีตช่วยกระตุ้นการจับจ่ายได้ดีมาก และหากนำกลับมาใช้ใหม่ เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงท้ายปีที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว
ด้านภาคเอกชน โดยนายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่าร้านอาหารในกรุงเทพฯ เผชิญยอดขายลดลงร้อยละ 25-50 ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2568 ทำให้หลายร้านต้องปิดตัวลง จึงเตรียมยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อขอให้กำหนดวงเงินในโครงการคนละครึ่งให้เหมาะสม เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร
ขณะที่ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นที่เห็นผลเร็ว โดยโครงการคนละครึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หากรัฐบาลลงทุน 50,000 ล้านบาทในโครงการนี้ คาดว่าจะสร้างการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ 70,000-100,000 ล้านบาท และผลักดันให้จีดีพี ในไตรมาส 4 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1
ทั้งนี้โครงการคนละครึ่งเคยประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปี 2563-2565 โดยมีผู้ได้รับสิทธิรวม 31 ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า 230,000 ล้านบาท สร้างยอดใช้จ่ายสะสมรวม 172,820 ล้านบาท ตลอด 5 เฟสของโครงการ ซึ่งประกอบด้วย
- เฟส 1 เริ่ม 23 ต.ค.2563 ผู้ใช้สิทธิ 10 ล้านคน วงเงินคนละ 3,000 บาท
- เฟส 2 เริ่ม 1 ม.ค.2564 เพิ่มสิทธิใหม่ 5,000,000 คน วงเงินคนละ 3,500 บาท และเพิ่มวงเงิน 500 บาทให้ผู้ร่วมเฟส 1
- เฟส 3 เริ่ม 1 ก.ค.2564 ผู้ใช้สิทธิ 31 ล้านคน วงเงินคนละ 4,500 บาท
- เฟส 4 เริ่ม 1 ก.พ.2565 ผู้ใช้สิทธิ 26.27 ล้านคน วงเงินคนละ 1,200 บาท
- เฟส 5 เริ่ม 1 ก.ย.2565 ผู้ใช้สิทธิ 24.02 ล้านคน วงเงินคนละ 800 บาท
อ่านข่าวอื่น :
ผบ.ตร.คืนโอกาสเลื่อนชั้นนายร้อย ส.ต.อ.ถูกตัดสิทธิ์จากขาเทียม
สวนดุสิตโพล เผย ปชช.68% ชี้ภารกิจด่วนนายกฯ ใหม่ แก้ปัญหาปากท้อง