โดยเฉพาะรัฐมนตรีกลาโหม ที่มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม จะไปนั่ง
อาจจะโดยเป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับ 2 ในรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่คิดว่าสามารถเจรจาต่อรองได้ หรือเพราะเร่งรีบจัดโผแข่งกับเวลา หวังแสดงความพร้อมเข้าบริหารประเทศทันทีก็ตาม
แต่การจัดวางทหารยศ ร.อ.ที่เป็นนายทหารนอกประจำการ ไปวางในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ที่ต้องนั่งหัวโต๊ะสภากลาโหม หรือการขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคง รวมทั้งภารกิจสำคัญเฉพาะหน้า อย่างปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ดูจะผิดแบบผิดฝาอย่างมาก ยังไม่นับระดับอาวุโสในกองทัพ ที่คนเป็น ผบ.เหล่าทัพ จะมียศระดับ พล.อ. หรือ พล.ร.อ. หรือ พล.อ.อ.
ระดับชั้นยศเหล่านี้ต้องมีเส้นทางเติบโต ความรู้ความสามารถ สะสมบารมี จนเป็นที่ยอมรับหรือถูกจัดวางตัวจากรุ่นพี่ๆ ไว้ล่วงหน้า
แต่สุดท้ายต้องนั่งเป็นพระอันดับให้นายทหารนอกราชการยศ ร.อ.ที่ถือเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตำแหน่ง สมเหตุและสมควร เพียงใด
แม้ที่ผ่านมาจะเคยมีรัฐมนตรีกลาโหม มานั่งเป็นเจ้ากระทรวง และไม่ใช่นายทหารยศ พล.อ.หรือเทียบเท่า แต่ส่วนมากเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไปนั่งควบ รมว.กลาโหม จะมียกเว้นอยู่บ้าง กรณีนายสุทิน คลังแสง ที่แท้จริงแล้ว บทบาทสำคัญเป็นเรื่องการประสานงาน หรือทำหน้าที่เป็นเสมือนโฆษกหรือประสัมพันธ์งานของทัพเสียมากกว่า ไม่ใช่ภารกิจด้านสั่งการเรื่องงานในกองทัพ
แม้จะมีกระแสเสียง “กองทัพต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน” จากภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองแนวเสรีนิยม
แต่ปฏิเสธกันไม่ได้ว่า กองทัพเป็นเรื่องเกียรติยศและเกียรติศักดิ์ที่ต้องดำรงอย่างมีคุณค่า เป็นความภาคภูมิใจของทหารและกองทัพแต่ไหนแต่ไร
เมื่อมีกระแสฝ่ายการเมืองจะดันนักการเมือง ที่เริ่มมีบารมีสะสมจนใกล้จะกลายเป็นคนระดับ “แถวหน้า” การเมืองไทย มานั่งเก้าอี้ใหญ่ดังกล่าว ประกอบกับมีเรื่องราว ผลงาน และประวัติซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป เสียงขานรับที่ควรจะมีมาก จึงกลับถูกบดบังด้วยคำถามแทน
รวมทั้งข่าวคู่ชิงครั้งแรกซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน มีชื่อ "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยอยู่พรรคเดียวกัน ก็มีประเด็นคำถามกลับว่า "ไหวหรือ?" เช่นกัน
กระทั่งมีข่าวตามมาว่า ว่า'ลุงป้อม'จะส่ง'น้องเลืฟ' พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม ไปนั่งแทน
สุดท้ายจึงมีข่าวว่า จะมีการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรี ในโควต้าพรรคกล้าธรรมกันใหม่ โดยโยก ร.อ.ธรรมนัส เป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีเกษตรฯ แทนที่นาย อรรถกร ศิริลัทธยากร ทายาท "บ้านใหญ่ จ.ฉะเชิงเทรา" ไปเป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา
ส่วนแคนดิเดตรัฐมนตรีกลาโหม มีชื่อ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็น "เต็งหนึ่ง" แทน ส่วน พล.อ.ณัฐ มีชื่อลดระดับเป็นเพียง รมช.กลาโหม
นัยว่าพบกันครึ่งทาง ลดความขัดแย้งในฐานะที่ต้องกลับมาทำงานร่วมกันระหว่าง พรรคกล้าธรรม กับพลังประชารัฐ
ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมตัวจริงที่เข้ามาเป็น จะลดแรงกระเพื่อม และคำถามเรื่องความเหมาะสมจากคนในกองทัพได้อีกทางหนึ่ง
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : "ภราดร" เผย "ครม.อนุทิน" เร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
"พล.อ.ประวิตร" ประกาศไม่รับตำแหน่ง "รมว.กลาโหม" ขอสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง