ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ขาดเงินออม-หนี้สิน" มูลเหตุหลักความยากจน บพท.เสนอ 10 แนวทางแก้ไข

สังคม
16:27
146
"ขาดเงินออม-หนี้สิน" มูลเหตุหลักความยากจน บพท.เสนอ 10 แนวทางแก้ไข
ชุมนุมภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ร่วมกับ บพท.ระดมชุดข้อมูลจากงานค้นคว้าวิจัย เสนอชุดคำตอบ 10 ประการ ตอบโจทย์ประเทศ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ขณะที่หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 1/2568 เท่ากับ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP 87.4

วันนี้ (8 ก.ย.2568) ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายพิเศษสถานการณ์ความยากจนและการสร้างโอกาสเพื่อยกระดับสถานะทางสังคม ในงานสัมมนา "สู้ชนะความจนครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี ภาคี ความสัมพันธ์" 

โดยระบุว่า ฐานข้อมูลครัวเรือนยากจนปี 2566 ที่เกิดจากการสังเคราะห์ชุดข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจนโดยคณะวิจัย 779 คน ร่วมกับนักศึกษา 1,688 คน และภาคีเครือข่ายอีก 1,767 ภาคี พบว่า มีจำนวนคนจนรวมกัน 2.39 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.41 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ถึงร้อยละ 31.71 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 2 ได้แก่ภาคใต้ มีสัดส่วนคนจน ร้อยละ 30.65 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 3 ได้แก่ ภาคกลาง มีสัดส่วนคนจน 19.07 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 4 ได้แก่ ภาคเหนือ มีสัดส่วนคนจน ร้อยละ 16.98 ของประชากรในพื้นที่ และอันดับสุดท้ายคือ กรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนคนจนร้อยละ 1.60 ของประชากรในพื้นที่

จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยบ่งชี้ว่า มูลเหตุแห่งความยากจนในสังคมไทย ร้อยละ 84 มีสาเหตุสำคัญมาจากการขาดเงินออม อันเนื่องมาจากมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 71 มาจากปัญหาหนี้สิน ร้อยละ 60 มาจากการขาดที่ดินทำกิน ร้อยละ 57 มาจากการขาดทักษะด้าน อาชีพที่สามารถสร้างรายได้ และร้อยละ 41 มาจากการเข้าไม่ถึงสวัสดิการจากรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนคนจนมักจะมีถิ่นพำนักอยู่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก

"บพท. ได้ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและภาคีในพื้นที่ ทำงานวิจัยแก้ปัญหาความยากจนลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 เป็นตันมา และได้ออกแบบโมเดลแก้จนที่มีความสอดคล้องกับบริบทภูมิสังคมในพื้นที่ สำหรับนำไปประยุกต์ใช้แล้วถึง 299 โมเดล ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งสร้างนักจัดการพื้นที่เพื่อทำหน้าที่วิทยากรให้คำแนะนำแก่ชุมชนในการปรับใช้ประโยชน์จากโมเดลแก้จนกระจายตัวอยู่ทุกภูมิภาค ทั้งนี้ผลจากการดำเนินงานวิจัยแก้จนอย่างต่อเนื่อง ยังก่อเกิดกองทุนแก้จน 34 กองทุน

เสนอชุดคำตอบ 10 ประการ ตอบโจทย์ประเทศ

ผู้อำนวยการ บพท. ยังกล่าวด้วยว่า ภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเสนอแนะแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนในพื้นที่ และแก้ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาภัยความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้งภัยสังคม ไปยังรัฐบาล รวมประการ ประกอบด้วย

1.ปัญหาความยากจน ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และมีกลไกระดับชาติที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง

2.ควรมีกลไกความร่วมมือระดับจังหวัดในการแก้ไขยากจนแบบองค์รวม

3.พัฒนาระบบคัดกรองและชี้เป้าครัวเรือนยากจน เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายแหล่งเป็นเอกภาพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และชี้เป้าความยากจนได้อย่างแม่นยำ

4.กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการข้อมูลเพื่อเป็นฐานในการออกแบบมาตรการแก้จนเชิงรุกตามประเภทความยากจนของครัวเรือน

5.แก้ปัญหาความยากจนแบบองค์รวม โดยใช้แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด

6.จัดให้มีกลไกส่งต่อความช่วยเหลือคนจน

7.สนับสนุนองค์กรปกครองท้องถิ่น ให้เป็นเจ้าภาพหลักในระดับพื้นที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความยากจน โดยใช้ข้อมูลคนจนแบบชี้เป้าและเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์จังหวัด

8.สนับสนุนให้นายอำเภอ ทำหน้าที่กำกับ ติดตามในระดับอำเภอและให้บรรจุเป็นนโยบายของศูนย์ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุก

ช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด และให้สถาบันวิชาการในพื้นที่เป็นหน่วยสนับสนุนทางวิชาการแก่กลไกทุกระดับ

9.สร้างนโยบายเชิงรุกด้านสวัสดิการมุ่งเป้า ครอบคลุมทุกมิติ

10.สร้างโครงการพัฒนาทักษะอาชีพที่เข้าถึงครัวเรือนอย่างตรงเป้าและสอดคล้องกับบริบทพื้นที่

สำหรับรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และแก้หนี้ ในอนาคตอันใกล้ควรเริ่มในส่วนของการปรับโครงสร้าง และการจัดทำนโยบายเชิงรุก ซึ่งนโยบายเชิงรุกคือการจัดทำสวัสดิการที่ครอบคลุม ซึ่งอาจหมายถึงสวัสดิการที่มีอยู่แล้ว เช่นบัตรสวัสดิการภาครัฐ หรือสวัสดิการอื่นๆ ที่ลงไปถึงระดับครัวเรือน ต้องสร้างระบบข้อมูลชี้เป้า และต้องสร้างความร่วมมือกลไกระดับพื้นที่ เพื่อชี้เป้าและให้คนจนที่ตกหล่นได้เข้าถึงสวัสดิการของรัฐ

ส่วนการปรับโครงสร้าง เช่นโครงการการช่วยเหลือต่างๆ ที่เป็นโครงการการพัฒนาอาชีพ และต้องกำกับติดตามให้เป็นโครงการพัฒนาที่เข้าถึงระดับครัวเรือน

สำหรับนโยบายที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไว้ เรื่องการรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งต้องรับทั้งโครงสร้างการผลิต และภาคการพัฒนาทักษะอาชีพให้ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม ใช้การพยากรณ์ การปรับรูปแบบ การจัดการปฏิทินการผลิต เพื่อทำให้รูปแบบการผลิตรายพื้นที่ปรับปรุงโครงการการผลิตให้มีโอกาสยกระดับทั้งการปรับโครงสร้างการผลิต การปรับเปลี่ยนอาชีพที่สอดคล้องกับบริบทและรับมือกับภัยพิบัติได้

หนี้ครัวเรือนไทย 16.35 ล้านล้านบาท

ขณะที่นายสุรพล โอภาสเสถียร อดีตผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยอย่างเป็นทางการไตรมาส 1/2568 เท่ากับ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับ 87.4 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหากสูงเกินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าอันตราย

ทั้งนี้ จากที่ติดตามพบว่าหนี้ครัวเรือนแม้ในภาพรวมสัดส่วนต่อจีดีพีจะดูลดลง แต่ปัญหาไม่ได้หายไปยังคงอยู่ต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ของครัวเรือนต่าง ๆ ไม่เพียงพอ ทำให้ต้องเข้าสู่ระบบการกู้เกิดภาระหนี้กลายเป็นปัญหาซ้ำเติม รายได้ไม่สัมพันธ์กับภาระหนี้ที่หนักขึ้น ต้องแบกดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย (รายได้ประจำวัน = รายจ่าย + ชำระหนี้ ที่เหลือเท่ากับเงินออม)

"จากภูเขาหนี้คนช่วงอายุ 20 – 90 ปี เป็นหนี้อะไรบ้าง พบว่ามีการซื้อไปก่อนผ่อนทีหลัง คนเป็นหนี้เสียทั้งหมด 1.235 ล้านล้านบาท คิดเป็นบัญชีที่เป็นหนี้เสีย 9.6 ล้านบัญชี จำนวน 5.3 ล้านคน ขณะที่ลูกหนี้ 3.4 ล้านคน เป็นหนี้เสียที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท และจะเป็นปัญหาคดีความที่กลายเป็นปัญหาสังคม ณ ปัจจุบันบริษัทติดตามหนี้ AMC จะซื้อหนี้ในอัตรา 5 บาทต่อมูลหนี้ 100 บาท เนื่องจากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 1.2 แสนล้านคือราคาหนี้ หากต้องจ่าย 6 พันล้านซื้อหนี้ ซึ่งค่าติดตามหนี้ 3.4 ล้านคนของบริษัทติดตามหนี้ คำนวณออกมาแล้วประมาณ 700 บาทต่อหัวต่อคน"

จากสถานการณ์ NPL ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันหนี้จำนวน 1.24 ล้านล้านบาท ถ้าไม่มีมาตรการในการแก้ไขที่ได้ผลอย่างจริงจังจะทำให้ตัวเลขหนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.3 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 4.8% จากปัจจุบัน โดยกลุ่มลูกหนี้ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่ม Gen Y ที่เป็นคนที่อยู่ในวัยทำงานในตำแหน่งพนักงานระดับต้นเพราะว่าอัตราการเพิ่มของหนี้ NPL ของคนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวม

อ่านข่าว :

"อีกฟากด้านกระดานหก" โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ คว้ากวีนิพนธ์ซีไรต์ 2568

บอร์ด สปสช. เห็นชอบ แผน 4 ปี พัฒนาระบบบริการโรค "NCDs-ไต-มะเร็ง"

ป.ป.ส. ชู Best Practice โมเดลต้นแบบแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชน