ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยกำหนดให้รัฐสภาเริ่มจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ แต่ต้องมีทำประชามติ 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 และ 2 อาจทำรวมกันครั้งเดียวได้ และห้ามประชาชนเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง
วันนี้ (12 ก.ย.2568) นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ กล่าวว่า บรรยากาศในห้องประชุมกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) เป็นไปด้วยดี ทุกคนเห็นตรงกันและจะเดินไปข้างหน้า ก่อนหน้านี้ตนเองกังวลถึงคำถามในการทำประชามติ แต่ขณะนี้นิ่งแล้ว ซึ่งทั้ง 3 พรรค ประกอบด้วย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ตัวแทนพรรคประชาชน, นายชลน่าน ศรีแก้ว ตัวแทนพรรคเพื่อไทย และนายภราดร ปริศนานันทกุล ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย เห็นตรงกันว่าศาลรัฐธรรมนูญแทบจะตีกรอบคำถามมาแล้ว คงจะแตกต่างจากนี้ได้ยาก ไม่ต้องกังวลเรื่องคำถามแปลก ๆ ซับซ้อน หรือมีหลายประเด็นในคำถามเดียว
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า กรณีศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าประชาชนไม่มีสิทธิเลือก สสร.นั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วย และเชื่อว่าทั้ง 3 พรรคก็คิดไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะหาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด เช่น เลือกตั้งทางอ้อม เลือกตั้งตัวแทนแล้วเลือกอีกหนึ่งชั้น หรือให้ สส.เลือก สสร. หรือให้ประชาชนเลือกสภาแห่งหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่มีอำนาจร่างฯ มีเพียงอำนาจในการอนุมัติว่าร่างฯ แบบใดได้หรือไม่ได้ ขณะนี้อยู่ในช่วงหารือว่าจะเป็นแบบใด
"ตอนนี้ยังไม่เห็นคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ในประโยคที่ระบุว่าไม่ให้เลือกตั้ง สสร.มีที่มาและเหตุผลอย่างไร และจะหาทางออกอย่างไรได้บ้าง โดยขอให้หน่วยงานธุรการของศาลฯ เร่งตีพิมพ์คำวินิจฉัยดังกล่าว เพื่อให้ทั้ง 3 พรรคเสนอร่างฯ ที่พอจะประนีประนอมกันได้"
ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน กล่าวว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ เฉลี่ยอายุฉบับละ 4 ปีกว่า สาเหตุที่เปลี่ยนบ่อยเพราะมีการรัฐประหาร หรือมีที่มาไม่ชอบธรรม เมื่อโจทย์การเมืองเปลี่ยน รัฐธรรมนูญก็หมดอายุ ส่วนตัวจึงมองว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกผู้ร่างฯ และได้คนหลากหลาย อาจใช้เวลาพอสมควร แต่เป็นทางเดียวทำให้รัฐธรรมนูญได้รับการยอมรับ และใช้ได้นาน
รัฐสภาไม่มีอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ประโยคนี้เป็นการจำกัดอำนาจรัฐสภา ไม่ได้จำกัดอำนาจประชาชน หากกระบวนการการเลือกตั้ง สสร.มาจากประชาชนหลักล้านคนเข้าชื่อกันเสนอสู่สภาฯ และผ่าน 3 วาระ ก่อนทำประชามติ และประชาชนเห็นด้วยว่าต้องการมีส่วนร่วมเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า การปลดล็อกมาตรา 256 นั้น เป็นขั้นตอนปกติ หากรัฐบาลและสภาฯ เห็นตรงกันว่าต้องมี สสร.จะต้องมีกฎหมายรองรับ ถือว่าเป็นงานธุรการ โดยให้รัฐธรรมนูญปัจจุบันมีกฎหมายรองรับถึงการมี สสร.ว่ามีที่มาอย่างไร อำนาจหน้าที่อย่างไร กรอบระยะเวลาทำงาน และจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ได้แค่ไหน หากรัฐสภาเห็นตรงกันก็น่าจะทำได้ไม่ยาก จึงขอให้รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยช่วยเจรจากับ สว.ชุดนี้ เพื่อให้ยกมือให้ และอย่าขัดขวาง
ทั้งนี้ ตั้งเป้าทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2569 โดยมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ สส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ และบัตรลงประชามติ 1 ใบ มีอย่างน้อย 2 คำถาม คือ เห็นด้วยหรือไม่กับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเห็นด้วยหรือไม่กับกระบวนการแก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยที่มา สสร.ตามที่รัฐสภาทำเสร็จแล้ว เป็นการรวมครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 หลังสภาฯ แก้ไขมาตรา 256 แล้วเสร็จ
นายยิ่งชีพ ยอมรับว่ามีเงื่อนไขหลายอย่าง ยกตัวอย่างหาก สว.โหวตคว่ำ แก้ไขมาตรา 256 ไม่ได้ ก็จะไม่มีคำถามข้อ 2 ในบัตรลงประชามติ, หากสำนักงานศาลฯ ตีพิมพ์คำวินิจฉัยฉบับเต็มล่าช้า พรรคต่าง ๆ ก็จะเสนอร่างของตัวเองให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยได้ช้า และกระบวนการพิจารณาแก้ไขมาตรา 256 ก็ล่าช้าตามไปด้วย ซึ่งกรอบ 4 เดือนในการทำงานของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย อาจล่าช้าไปอีก
อ่านข่าว : "ปชน. - พท. - ภท." เห็นพ้อง 3 ข้อสรุป เดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่