กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง หลัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ออกมาเปิดเผยถึงกระแสข่าว "พระวัดดัง จ.ปทุมธานี" เกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ทำให้นายนันทน อินทนนท์ ทนายความ วัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง โดยระบุว่า การโอนเงินให้สีกาดังกล่าวในเยอรมนีเพื่อตั้งมูลนิธิ สร้างวัดสาขา
หากย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วัดนาป่าพง เคยตกเป็นข่าวหลัง พระพรหมวชิรญาณโสภณ เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ได้ลงนามในแถลงการณ์รายงานการประชุม เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2553 ให้ตัด “วัดนาป่าพง” ต.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ออกจากสาขา “วัดหนองป่าพง”
และถือว่าการกระทำใด ๆ ของ พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาส ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ทางคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
แถลงการณ์รายงานการประชุม ครั้งที่ 1/2553 วันพุธที่ 16 มิ.ย.2553 วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ตามระเบียบวาระการประชุมข้อ 2 เรื่อง วัดนาป่าพง ต.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ระบุว่า พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นเจ้าอาวาส ได้กระทำสังฆกรรมทางพระวินัย โดยสวดพระปาฏิโมกข์เพียง 150 ข้อ โดยเป็นที่ทราบกันแล้วนั้น
จวบจนปัจจุบัน พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้กระทำสังฆกรรมทางพระวินัยโดยสวดพระปาฏิโมกข์เพียง 150 ข้อ เหมือนเดิม ไม่สามารถที่จะกระทำตามมติของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงได้

เปิดมติที่ประชุมสงฆ์วัดหนองป่าพง
ที่ประชุมมีมติดังนี้ ให้ตัดวัดนาป่าพง ต.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยมี พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นเจ้าอาวาส ออกจากสาขาวัดหนองป่าพง ถือว่า การกระทำใด ๆ อันจะก่อให้เกิดความเสียหาย ทางคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
และในต่อมา วันที่ 27 ส.ค.2557 นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม (ในขณะนั้น) ได้นำข้อร้องเรียนจากประชาชนแจ้งผ่านศูนย์ออนไลน์และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2557 เสนอเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) กรณี “พระอาจารย์คึกฤทธิ์” เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ เช่น สั่งสอนประชาชนว่า พระไตรปิฎกเชื่อถือได้เฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์ , รวบรวมพระไตรปิฎกเหลือเพียงปิฎกเดียว รับพระวินัยเพียง 150 ข้อ
ส่วนที่เกินพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุให้วัดนาป่าพงถูกตัดออกจากการเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ไปเมื่อปี 2553
โดย พศ.ได้แจ้งให้ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ปทุมธานี ตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับเจ้าคณะอำเภอลำลูกกา เจ้าคณะตำบลทุกตำบลในเขต อ.ลำลูกกา และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ปทุมธานี
อีก 4 เดือนถัดมา ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศมติมหาเถรสมาคม เรื่อง กรณี พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล วัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2557 โดยระบุว่า กรณีสั่งสอนประชาชนทั่วไปว่าพระไตรปิฎกเชื่อถือไม่ได้เป็นบางส่วน เชื่อถือได้เฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์ ส่วนอรรถกถาที่เป็นของสาวกเชื่อถือไม่ได้นั้น
พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ชี้แจงว่า ได้พูดตามคำสอนของพระศาสดาและเป็นไปตามพระสูตรทุกประการ ส่วนกรณีรับพระวินัยเพียง 150 ข้อ ส่วนที่เกินพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ กรณีนี้เป็นเหตุให้พระอาจารย์คึกฤทธิ์ถูกขับออกจากวัดหนองป่าพง ได้มีการชี้แจงว่า รับพระวินัยทั้งหมดที่พระศาสดาทรงบัญญัติ ที่มีอยู่ในพระวินัยปิฎกจำนวน 8 เล่ม ซึ่งมีมากกว่า 2,500 ข้อ จากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐและฉบับหลวง การรักษานั้นรักษาได้ทั้งหมด
ขณะที่ กรณีรวบรวมพระไตรปิฎกเหลือเพียงปิฎกเดียว พระอธิการคึกฤทธิ์ ชี้แจงว่า ได้รวบรวมคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระศาสดาทั้งชีวิตที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ภาษาบาลีอักษรสยาม และฉบับหลวงที่เป็นภาษาไทยไว้ในหนังสือพุทธวจนปิฎกซึ่งมีจำนวน 33 เล่ม นำมาจัดระเบียบให้เรียบร้อย โดยไม่มีการดัดแปลงแก้ไขแต่อย่างใด
ประกาศยังระบุว่า เจ้าคณะอำเภอลำลูกกาและเจ้าคณะตำบลได้ให้คำแนะนำให้พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศมหาเถรสมาคม ซึ่งก็รับฟังด้วยดีและได้น้อมรับคำแนะนำจากคณะกรรมการฯ เพื่อนำไปสู่ความเป็นเอกภาพของคณะสงฆ์ไทย

ส่วนพระปาติโมกข์ที่พระสงฆ์สวดทุกวันพระ 14 และ 15 ค่ำ มี 227 ข้อ แต่พระอธิการคึกฤทธิ์ รับพระวินัยเพียง 150 ข้อ ประกอบด้วย ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92 ปาฏิเทสนียะ 4 อธิกรณสมถะ 7 ส่วนที่พระคึกฤทธิ์ ไม่รับ คือ อนิยต 2 และเสขิยวัตร 75
หากยังให้มีการทําสังฆกรรมทางพระวินัย โดยสวดพระปาติโมกข์เพียง 150 ข้อ อาจลุกลามเป็นการแตกแยกความสามัคคีของสงฆ์และก่อให้เกิดวิวาทะระหว่างพุทธศาสนิกชนไม่รู้จบ อันอาจลุกลามการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย ซึ่งอาจส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทยได้ จึงเห็นควรนําเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดพิจารณา
ทั้งนี้ ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า ประเพณีการสวดพระปาติโมกข์ของคณะสงฆ์ไทย ได้กําหนดให้สวด 227 สิกขาบท ตามที่ปรากฏหลักฐานยืนยันในพระวินัยปิฎกทั้ง 8 เล่ม โดยเฉพาะพระวินัยปิฎกเล่มที่ 1 และเล่มที่ 2 ที่ชื่อว่ามหาวิภังค์ ได้แสดงรายละเอียดของการที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท 227 ข้อ พร้อมด้วยต้นบัญญัติและอนุบัญญัติ พระวินัยปิฎกเล่มที่ 2 ได้สรุปไว้ชัดเจนว่า สิกขาบทในพระปาติโมกข์ที่มาสู่อุเทศคือการสวดทุกครึ่งเดือนมีจำนวน 227 ข้อ ซึ่งรวมอนิยต 2 และเสขิยวัตร 75 ไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างว่า สิกขาบทในพระปาติโมกข์มีเพียง 150 ข้อ โดยตัดอนิยต 2 และเสขิยวัตร 75 ออกจากการสวดพระปาติโมกข์ เป็นการอ้างอิงจากพระสุตตันตปิฎก โดยเฉพาะพระสูตร 4 สูตรคือ วัชชีบุตรสูตร ปฐมสิกขาสูตร ทุติยสิกขาสูตรและตติยสิกขาสูตร ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 20 อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต มีข้อความที่กล่าวถึงสิกขาบทในพระปาติโมกข์จำนวน 150 ข้อ
สำหรับประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็คือสิกขาบทในพระปาติโมกข์มีเพียง 150 ข้อตามที่ระบุไว้ในพระสูตรดังกล่าว เมื่อตรวจสอบหลักฐานพระไตรปิฎกฉบับที่แปลเป็นภาษาต่าง ๆ แล้วพบว่า มีการแปลแตกต่างกันออกไป คือมีทั้งฉบับที่แปลว่า “สิกขาบท 150 ถ้วนมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน”
และฉบับที่แปลว่า “สิกขาบทเกินกว่า 150 ข้อมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน” คําในต้นฉบับภาษาบาลี ที่เป็นเหตุแห่งการแปลว่า “ถ้วน ” และ “เกินกว่า” ก็คือคําว่า “สาธิกํ” ซึ่งอรรถกถาหลายแห่งกําหนดให้แปลว่า “เกินกว่า” เช่น คําว่า “สาธิกนวุติ” ให้หมายถึง “อติเรกนวุติ” แปลว่า “เกินกว่า 90”
ดังนั้น การแปลที่ว่า สิกขาบทเกินกว่า 150 ข้อ ถือว่ายึดตามการแปลตามแนวอรรถกถา และแสดงว่าสิกขาบทในพระปาติโมกข์ตามแนวแห่งพระสูตรทั้งสี่มีมากกว่า 150 ข้อ แม้จะยึดตาม แนวการแปลพระสูตรทั้งสี่ที่ว่า “สิกขาบท 150 ถ้วนมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน” ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ทั้งหมดมีเพียง 150 ข้อเท่านั้น
ทั้งนี้ เพราะอรรถกถาของวัชชีบุตรสูตร ระบุว่า เป็นการกล่าวถึงจำนวนสิกขาบทเท่าที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในเวลาที่แสดงพระสูตรนี้เท่านั้น หมายถึงว่า หลังจากที่ทรงแสดงพระสูตรนี้ ก็ได้มีการบัญญัติสิกขาบทในพระปาติโมกข์เพิ่มเติมจนครบ 227 ข้อ
ดังที่พระวินัยปิฎกเล่มที่ 8 คัมภีร์บริวารบันทึกไว้ว่า พระอุบาลีได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิกขาบทในพระปาติโมกข์มีจำนวนเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า มี 220 ข้อ เมื่อรวมกับอธิกรณสมถะตามคัมภีร์มหาวิภังค์อีก 7 ข้อ ก็ได้สิกขาบทในพระปาติโมกข์จำนวน ทั้งสิ้น 227 ข้อ
ซึ่งพระสังคีติกาจารย์ผู้ทำการสังคายนาครั้งที่ 1 ได้ให้การรับรองตามนั้นและได้มีมติยืนยัน ในการสังคายนาครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ว่าสิกขาบทในพระปาติโมกข์มี 227 ข้อ โดยถือเป็นประเพณี ปฏิบัติในการสวดพระปาติโมกข์สืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท

ที่ประชุมจึงมีมติดังนี้ 1.อาศัยอำนาจตามมาตรา 15 ตรี (4) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ที่กำหนดให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา จึงให้คณะสงฆ์ไทยถือปฏิบัติตามพระวินัยปิฎก ด้วยการสวดพระปาติโมกข์ 227 สิกขาบท
ดังนั้น เพื่อการนี้ ให้ทำเป็นประกาศมติมหาเถรสมาคมและมอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาคเพื่อทราบ แจ้งเจ้าคณะจังหวัดทั้งสองฝ่ายเพื่อแจ้งวัดในเขตปกครองทราบและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและให้ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม
ดังกล่าว คือ ข้อมูลในอดีตที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันของวัดนาป่าพง แม้ว่าส่วนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับ เรื่องทรัพย์สินและเส้นทางการเงินก็ตาม
อ่านข่าว :
ทนายวัดนาป่าพง ชี้แจง "พระคึกฤทธิ์" โอนเงินให้สีกาในเยอรมนี 12 ล.เพื่อตั้งมูลนิธิสร้างวัด
ทนายความสีกา มอบหลักฐานเส้นเงินวัดดังปทุมฯ ให้ ตร.
ตร.พบ 9 คน เกี่ยวข้อง ข้อกล่าวหา "วัดนาป่าพง" เงินวัด - สีกา