ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเดินทางไปเก็บเบอร์รีป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ของแรงงานไทยถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดกรณีร้องเรียนปัญหาต่าง ๆ เช่น ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้ค่าจ้างตามที่ตกลงไว้ แต่ดูเหมือนระยะหลัง ๆ มานี้ แนวโน้มจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทางการไทยไม่ได้นิ่งนอนใจและเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหานี้ และปีนี้ทั้งสวีเดนและฟินแลนด์ต่างปรับเปลี่ยนนโยบายการจ้างแรงงานเก็บเบอร์รีป่า
การเก็บเบอร์รีป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ เป็นช่องทางสร้างรายได้อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรจากภาคอีสานที่อาศัยช่วงว่างเว้นจากการเพาะปลูก หวังเดินทางไปคว้าเงินแสนกลับบ้านจากการไปทำงานในระยะสั้นๆ ราว 2-3 เดือน โดยแรงจูงใจสำคัญไม่พ้นเรื่องราวจากแรงงานที่เคยเดินทางไปมาก่อน
แม้ว่าแรงงานบางส่วนจะประสบความสำเร็จ พบเจอสภาพการทำงานที่ดี ทำเงินได้ตามที่หวัง แต่ในอดีตก็เคยมีแรงงานจำนวนไม่น้อยที่ต้องพบกับความผิดหวัง ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือเลวร้ายถึงขั้นเข้าข่ายการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะในฟินแลนด์ที่มีกลุ่มบริษัทเบอร์รีถูกตั้งข้อหานี้ ซึ่งรวมถึงกรณีฟ้องร้องเมื่อปี 2022 ที่ศาลฟินแลนด์เพิ่งมีคำพิพากษาตัดสินโทษซีอีโอบริษัทเบอร์รีไปเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทางการไทยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทั้ง 2 ประเทศเพื่อเร่งแก้ไขและป้องกัน ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่สวีเดนและฟินแลนด์กำหนดให้แรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าด้วยวีซ่าแรงงานตามฤดูกาล ซึ่งหมายถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ และความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานของทั้งสองประเทศ
นายมังกร ประทุมแก้ว อธิบดีกรมการกงสุล พร้อมคณะ ลงพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณสมพราว ผู้แทนอาสาสมัครช่วยเหลือคนไทยในสวีเดน และได้ข้อมูลว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้ คนไทยไม่ได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากถูกเอารัดเอาเปรียบแล้ว แต่เป็นปัญหาการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ มากกว่า
สอดคล้องกับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม ซึ่งระบุว่า สถานการณ์แรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บเบอร์รีป่าในปัจจุบัน รวมถึงช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีประเด็นปัญหาอะไรมากนัก อย่างในปี 2566 มีคนไทยไปเก็บผลไม้ป่าประมาณ 5,000 คน และมีเพียงกรณีร้องเรียนของแรงงานไทย 150 คน ที่ไปกับบริษัทนายจ้างไทยกรณีเดียว ที่นำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ว่าจ้างและผู้รับซื้อเบอร์รีนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพิ่มความเข้มงวดของทางการสวีเดนในการพิจารณาอนุญาตให้แรงงานไทยเข้าประเทศในฤดูกาลถัดมา ซึ่งทำให้แรงงานไทยที่ได้ไปเก็บเบอร์รีป่าลดลงเหลือประมาณ 1 พันคน
ส่วนปีนี้ มีแรงงานไทยได้รับอนุญาตไม่ถึง 100 คน หลังจากสวีเดนพยายามผลักดันให้กลุ่มนายจ้าง ว่าจ้างแรงงานไทยโดยตรง พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นสำหรับบริษัทนายจ้าง
ส่วนที่ฟินแลนด์ซึ่งเผชิญปัญหาหนักหน่วงกว่าที่สวีเดน เริ่มขยับตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเปลี่ยนจากการอนุมัติวีซ่าท่องเที่ยวสำหรับแรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บเบอร์รีป่าเป็นใบอนุญาตมีถิ่นพำนักสำหรับผู้ที่ได้รับการจ้างงานในประเทศ โดยบริษัทในฟินแลนด์ต้องว่าจ้างแรงงานโดยตรง ไม่ผ่านนายหน้า
การแก้กฎหมายในปีนี้ โดยให้แรงงานเก็บผลไม้ป่าต้องอยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานตามฤดูกาล ช่วยเปิดทางให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น เช่น การประกันรายได้ขั้นต่ำ มีสวัสดิการด้านสุขภาพ และแบกรับภาระค่าใช้จ่ายน้อยลง โดยแนวทางนี้มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี ยังไม่พบปัญหาหรือแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาใด ๆ
นอกจากนี้ การร้องเรียนเกี่ยวกับแรงงานเก็บเบอร์รีป่านำไปสู่การตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของการส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐหรือ จีทูจี แต่ปัจจุบันทางกระทรวงการต่างประเทศยังมองว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากสวีเดนและฟินแลนด์เชื่อว่าเป็นสิทธิของทุกคนที่จะเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้ ดังนั้น การมีข้อตกลงจีทูจีกับประเทศใดประเทศหนึ่ง อาจขัดต่อค่านิยมนี้และกระทบสิทธิในการเก็บเบอร์รีป่าของพลเมืองคนอื่น ๆ
อ่านข่าว : "ปลัดแรงงาน" แจงปมหักค่าหัวคิว ยืนยันไม่เกี่ยวข้องค้ามนุษย์
“ตร.ฟินแลนด์-ดีเอสไอ” สอบแรงงานถูกหลอกไปเก็บเบอร์รี่ใน ตปท.
แรงงานเก็บเบอร์รี่ป่าสวีเดน-ฟินแลนด์ร้องหยุดค้ามนุษย์