กรณีชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทยในพื้นที่ "บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว" แม้ไทยจะพยายามทำความเข้าใจและเตรียมใช้กฎหมายไทยดำเนินคดีกับชาวกัมพูชา แต่กัมพูชามีท่าทีไม่ยอมรับ พร้อมกล่าวหาไทยว่าบิดเบือนและเมิดข้อตกลงในพื้นที่พิพาท โดยมีการใช้โล่มนุษย์ยั่วยุกดดันไทย
วันนี้ (22 ก.ย.2568) นายทรงฤทธิ์ โพนเงิน ผู้เชี่ยวชาญประเทศลุ่มน้ำโขง กล่าวถึงปัญหากัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทยที่บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ว่า การกระทำของฝ่ายกัมพูชามีเป้าประสงค์ยั่วยุฝ่ายไทย ขณะที่ไทยไม่ได้ใช้ไม้แข็งตอบโต้ แต่ใช้สิ่งที่เป็นกติกาสากล ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำต่อไป

พร้อมมองว่า สิ่งที่กัมพูชาทำกับประเทศไทยเป็นสิ่งที่ประจานตัวเอง ไม่ว่าจะไปฟ้องที่ไหนก็ตาม เพราะมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่จะเสนอหลักฐานที่เป็นลบให้กับฝ่ายตัวเอง
ยื่นก็ยื่นไป แต่เมื่อถึงเวลาที่เจอกันจริง ๆ เราสามารถตอบโต้ให้สากลรับทราบได้ โดยไม่จำเป็นต้องตอบโต้ทันทีหรือโต้ตอบทุกวัน
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยต้องใช้เวทีที่เป็นทางการกดดันกัมพูชาให้ดิ้นไม่หลุด ซึ่งต้องใช้วิธีนี้ โดยไม่ต้องทำแบบฮุนเซนการละคร
ส่วนความขัดแย้งกับไทยที่ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน เพราะ "ฮุนเซน" มีเป้าหมายที่ต้องการเสริมอำนาจให้กับรัฐบาลของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหรือไม่นั้น นายทรงฤทธิ์ ระบุว่า เป็นเรื่องที่แน่นอน แต่เชื่อว่าไม่สามารถทำได้ จึงต้องยื้อเกมอยู่ในขณะนี้และอยู่ในบทบาทที่เรียกคะแนนสงสาร เพราะสิ่งที่พวกเขาทำไม่บรรลุผลตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นพล็อตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์

ขณะที่การแปลงสารของฝ่ายกัมพูชามี 2 ระดับ ระดับหนึ่งคือฟ้องต่อนานาชาติ และอีกระดับคือการนำไปอัดเป็นข้อมูลให้ประชาชนกัมพูชาได้เห็นว่าสิ่งที่ชาวกัมพูชาเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะประเทศไทยไม่เปิดชายแดน ไล่ชาวกัมพูชาออกจากที่ทำกิน หรือการขัดขวางต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่กัมพูชานำไปกระจายเพื่อสร้างวีรบุรุษ
ฉากตอนนี้ไม่ใช่ฉากที่กัมพูชาใช้เหมือนเดิม เริ่มแรกใช้คำว่า 'กัมพูเจียชนะไทยสมัยเตโชธิบดี' แต่ทำมา 3 เดือนแล้วยังไม่ชนะ ตอนนี้จึงเป็นฉากใหม่คือ 'วีรบุรุษสันติภาพ' โดยมีฮุนเซนเป็นบิดาสันติภาพ
นายทรงฤทธิ์ ระบุว่า รัฐบาลไทยควรใช้วิธีมาตรฐานสากลในการรับมือ ซึ่งทุกวันนี้ก็ใช้อยู่ เช่น การเผชิญหน้าที่แนวชายแดนไม่ได้ใช้กำลังทหาร แต่ใช้กำลังตำรวจ เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังพลหรือเสริมกำลังพล โดยมองว่าจุดนี้ไทยทำได้ตามมาตรฐานสากล ส่วนภาพที่ออกมา เช่น การรื้อแนวลวดหนาม ที่พบว่ามีทหารฝ่ายกัมพูชามาช่วยรื้อ ก็ถือเป็นการละเมิดข้อตกลง

ส่วนกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศหนุนทหารและให้สิทธิกับทหารอย่างเต็มที่ในการจัดการสถานการณ์ชายแดนนั้น จากการมอนิเตอร์พบว่าฝ่ายกัมพูชายังมีการเคลื่อนย้ายกำลังในพื้นที่ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ จึงต้องมีการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินและฝ่ายไทยยังคงกำลังจนกว่าจะมีข้อตกลงและทำพร้อมกันได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายทรงฤทธิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ฝ่ายไทยทำทุกวันนี้สามารถตัดท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซนไปได้อย่างมาก โดยเฉพาะแหล่งเงินที่ฮุนเซนนำไปเกื้อหนุนกองทัพส่วนตัว ซึ่งมาจากบ่อนกาสิโน สแกมเมอร์ เป็นต้น ส่วนการปิดชายแดนทำให้การค้า การขนส่งหายไป 100% ขณะที่การท่องเที่ยวก็หายไปเกือบ 100%

ประกอบกับสิทธิพิเศษทางการค้าของกัมพูชาลดน้อยลงหลังจากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า 19% ส่วนสหภาพยุโรปก็ลดทอนสิทธิพิเศษ Everything But Arms (สิทธิพิเศษทางการค้าที่สหภาพยุโรปมอบให้แก่กลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีนําเข้าสินค้าทุกชนิด ยกเว้นอาวุธและกระสุน) ลงไปแล้ว 30%
"ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่กลับไปบีบคอฮุนเซนเอง กัมพูชาจึงพยายามกดดันไทย หรือแม้กระทั่งจดหมายของฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชาที่ส่งถึงอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ก็ได้ย้ำถึงเรื่องการเปิดด่านชายแดนอยู่บ่อยครั้ง" นายทรงฤทธิ์ กล่าว
อ่านข่าว
ฝ่ายไทยเฝ้าระวังกัมพูชารวมตัวหน้าแนว "หนองหญ้าแก้ว-หนองจาน"
ทบ.ยันหลักเขตแดนที่ 42-43 เป็นตามกรอบ JBC จี้เขมรหยุดบิดเบือน
"อนุทิน" ปราศรัยเวทีศรีสะเกษ ย้ำเป็นนายกฯ ของคนไทย "ไม่เปิดด่าน"