ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทบ.ยันหลักเขตแดนที่ 42-43 เป็นตามกรอบ JBC จี้เขมรหยุดบิดเบือน

การเมือง
07:10
66
ทบ.ยันหลักเขตแดนที่ 42-43 เป็นตามกรอบ JBC จี้เขมรหยุดบิดเบือน
"พล.ต.วินธัย" ชี้ข้อมูลหลักเขตแดนที่ 42-43 เป็นไปตามกรอบ JBC สวนกลับกัมพูชาที่อ้างว่าเป็นพื้นที่ยังไม่ปักปันเขตแดน แต่มีคนกัมพูชารุกล้ำเข้าไป จี้หยุดบิดเบือนความจริงและให้ชาวบ้านรุกเขตไทยย้ายออก

กรณีสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนกัมพูชา ออกแถลงการณ์ตอบโต้โพสต์ในเพจ "Royal Thai Army: Update" เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเผยแพร่ภาพเอกสารยืนยันว่าจุดที่มีการประท้วง "บ้านหนองหญ้าแก้ว" อยู่ในเขตอธิปไตยไทย ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยเอกสารดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาลงนามโดยนาย ลาย เซียงลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกิจการชายแดนของกัมพูชา

แถลงการณ์ของสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนกัมพูชา อ้างว่า เอกสารข้อตกลงไทย-กัมพูชาที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2559 เป็นเพียงแผนที่แสดงลักษณะทางภูมิศาสตร์และตำแหน่งพิกัดของหลักเขตแดน ซึ่งเป็นภาคผนวกจากการประชุมในอดีต เพื่อสำรวจหาตำแหน่งที่แท้จริงของหลักเขตแดนหมายเลข 42 และหมายเลข 43 ที่ปักไว้ในสมัยฝรั่งเศสเท่านั้น ไม่ใช่แผนที่หรือเอกสารที่ใช้ยืนยันเส้นเขตแดนแต่อย่างใด​

นอกจากนี้ยังระบุว่า พื้นที่หมู่บ้านเปรยจัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในพื้นที่จริง และเรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไขโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว พบว่าเป็นข้อมูลจากเอกสารบันทึกผลการสำรวจร่วมไทย-กัมพูชา ในการค้นหาสภาพและที่ตั้งของหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ซึ่งเอกสารลงนามโดย พ.อ.ชาคร บุญภักดี ผู้อำนวยการกองแผนและโครงการ กรมแผนที่ทหาร (ฝ่ายไทย) และนายลาย เซียงลี ผู้อำนวยการกองเทคนิคและการสำรวจฯ (ฝ่ายกัมพูชา) โดยบันทึกฉบับนี้จัดทำขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2560 มีทั้งฉบับภาษาไทย กัมพูชาและภาษาอังกฤษ เป็นเอกสารที่บันทึกขั้นตอนการค้นหาที่ตั้งที่ถูกต้องของหลักเขตแดนในภูมิประเทศ

ภาพจากเฟซบุ๊ก Royal Thai Army : Update

ภาพจากเฟซบุ๊ก Royal Thai Army : Update

ภาพจากเฟซบุ๊ก Royal Thai Army : Update

หากดูจากเอกสารบันทึกประชุมฯ ดังกล่าว ยังพบว่า เนื้อหาหลัก ๆ เป็นเพียงการนำพิกัดหลักเขตแดนที่ได้ในเอกสาร ไปทำภาพจำลองเส้นเขตแดนบนแผนที่แบบไม่เป็นทางการ เพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น ด้วยการลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างจุดพิกัดต่าง ๆ ที่ได้มา ให้ปรากฏเห็นเป็นเส้นจำลองให้เห็นเป็นภาพคร่าวๆ

โดยทั่วไปเมื่อทราบพิกัดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์แล้ว จะสามารถพล็อตพิกัดลงบนแผนที่ที่มีในท้องตลาดทั่วไปได้ จากพิกัดหนึ่งไปยังพิกัดหนึ่ง ก็จะสามารถมองเห็นภาพเส้นจำลอง หรืออาจเป็นเส้นสมมติที่เกิดขึ้นมาได้บนแผนที่ จึงไม่ใช่เรื่องบิดเบือนตามอย่างที่กล่าวหา

อีกทั้งข้อมูลในเพจไม่ได้ระบุยืนยันเป็นเส้นเขตแดน เพราะในระบบที่เป็นทางการ เรื่องเส้นเขตแดนจะอยู่ในกลไกของคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) แต่สิ่งสำคัญที่ได้จากการดำเนินการสำรวจหลักเขตในอดีตที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไทยได้ยึดหลักการทำงานตามกรอบของ JBC และข้อตกลง MOU 2000 เสมอมา

แม้ว่าขั้นตอนการสำรวจหลักเขตตาม TOR ปี 2546 ของ JBC จะยังไม่สมบูรณ์ทุกขั้นตอน แต่พิกัดหลักเขตที่ 42 และ 43 รวมถึงหลักเขตอื่น ๆ ตามบันทึกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับนั้น สามารถใช้เฉพาะพิกัดตำแหน่งที่ได้ไปอ้างอิงใช้ประกอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ในเบื้องต้น

ภาพจากเฟซบุ๊ก Royal Thai Army : Update

ภาพจากเฟซบุ๊ก Royal Thai Army : Update

ภาพจากเฟซบุ๊ก Royal Thai Army : Update

โฆษกกองทัพบก ตั้งคำถามต่อกรณีที่กัมพูชากล่าวว่า "พื้นที่บ้านเปรยจัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนเลขที่ 42 และ 43 เป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในพื้นที่จริง" นั้น แล้วประชาชนกัมพูชาเข้าไปรุกล้ำดินแดนของประเทศไทยไปไกลลึกขนาดนั้นได้อย่างไร 

จึงยิ่งชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลง MOU 2000 มาตลอด เพราะในข้อตกลงฯ ระบุไม่ให้มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ในบริเวณที่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนได้ ด้วยการขยายพื้นที่ชุมชนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ และรุกล้ำขยายจนออกนอกพื้นที่อ้างสิทธิ์เข้ามาในเขตไทย ตามที่ฝ่ายไทยได้ประท้วงและเรียกร้องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศได้อย่างชัดเจน

พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายไทยปฏิบัติตามกลไก JBC และ MOU 2000 มาโดยตลอด จึงไม่จำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชาจะออกมาเรียกร้องให้ไทยดำเนินการในเรื่องนี้ สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาควรแก้ไขคือหยุดขยายชุมชนรุกล้ำดินแดนไทยและแจ้งให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเขตไทยย้ายออกนอกพื้นที่ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วประกาศไว้ เหมาะสมกว่าที่จะมาสร้างเรื่องบิดเบือนความจริง รวมถึงการปลุกระดมจัดฉากให้เด็ก ผู้หญิงและพระสงฆ์ออกมาประท้วงรับหน้าแทน ส่งผลให้ความขัดแย้งร้าวลึกขึ้นระหว่างทั้ง 2 ประเทศ จึงเป็นฝ่ายกัมพูชาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

อ่านข่าว

โฆษก ทบ.ยืนยันไทยมีสิทธิดำเนินคดีชาวกัมพูชารุกเขตไทย

จังหวัดสระแก้ว ขีดเส้น 10 ต.ค. ส่งแผนอพยพชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่รุกล้ำ

นักวิชาการมาเลเซียเตือนรัฐบาลระวัง "กัมพูชา" เล่นบทเหยื่อ