ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เศรษฐกิจโลกไม่ "ชัดเจน" เมื่อสหรัฐฯ "ชัตดาวน์"

ต่างประเทศ
15:06
845
เศรษฐกิจโลกไม่ "ชัดเจน" เมื่อสหรัฐฯ "ชัตดาวน์"
อ่านให้ฟัง
10:11อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการชั่วคราวครั้งแรกในรอบ 6 ปี ความขัดแย้งระหว่างเดโมแครต-รีพับลิกัน เรื่องงบประมาณและเงินช่วยเหลือสุขภาพ ทำให้โลกต้องจับตาว่าสหรัฐฯ จะแก้เกมนี้ยังไง วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพักงาน แต่ "ทรัมป์" อาจใช้โอกาสนี้ "จัดระเบียบ" รัฐบาลครั้งใหญ่

วันนี้ (1 ต.ค.2568) ลองนึกภาพชาวอเมริกันตื่นเช้ามา แล้วตัดสินใจไปปิกนิกที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี แต่ป้ายหน้าประตูบอกว่า "ปิด!" หรือนักเดินทางจะบินไปนิวยอร์ก แต่คิวที่สนามบินยาวเป็นกิโล เพราะเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกที่สนามบินมีจำนวนไม่พอ

นี่คือความจริงของ Government Shutdown 2025 ที่เริ่มขึ้นเมื่อเที่ยงคืนวันที่ 30 ก.ย.2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หลังสภาคองเกรสคุยกันไม่จบในญัตติงบประมาณ สถานการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองในวอชิงตัน แต่ส่งผลกระทบแน่ ๆ ถึงคนอเมริกันและเศรษฐกิจโลก

อะไรทำให้เกิด "ชัตดาวน์" ครั้งนี้ ?

ทุกอย่างเริ่มจาก ร่างงบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution หรือ CR) ที่สภาคองเกรสต้องผ่านเพื่อให้รัฐบาลมีเงินใช้ต่อไป แต่ครั้งนี้ พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันตกลงกันไม่ได้ เพราะ 

  • เดโมแครต ต้องการให้ร่างงบฯ รวมเงินช่วยเหลือประกันสุขภาพ (ACA subsidies หรือ Obamacare) ที่ช่วยคนรายได้น้อยจ่ายค่าเบี้ยประกัน ถ้าไม่ต่ออายุ 20 ล้านครอบครัวอาจเจอค่าเบี้ยพุ่งสูงถึงร้อยละ 55
  • รีพับลิกัน ยืนกรานให้ผ่านร่างงบฯ ขยายเวลาถึง 21 พ.ย. โดยไม่ผูกกับนโยบายอื่น "ไมค์ จอห์นสัน" ประธานสภาผู้แทนฯ บอกว่า "ไม่มีอะไรต้องเจรจา" จนกว่า ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา จะยอมถอย

อ่านข่าว : รบ.สหรัฐฯ "ชัตดาวน์" หน่วยงานรัฐเกือบทั้งหมดพักงานไม่มีกำหนด

ชัตดาวน์ครั้งนี้ "ต่าง" ยังไง ?

ข้อมูลจาก USA Today ระบุว่า "รัฐบาลปิดทำการ" หรือ Government Shutdown ตั้งแต่ปี 2519 (หลังกฎหมายงบประมาณปี 2518) จนถึงปัจจุบัน (1 ต.ค.2568) มีการปิดทำการทั้งหมด 21 ครั้ง รวมระยะเวลาทั้งหมด 161 วัน (ยังไม่นับของปี 2568) 

การปิดทำการรัฐบาลสหรัฐ (Government Shutdown) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงร่างงบประมาณได้ทันเวลา ส่งผลให้หน่วยงานรัฐบางส่วนต้องหยุดทำงานชั่วคราว ตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา มีประธานาธิบดีที่เผชิญวิกฤตนี้บ่อยครั้ง โดย จิมมี คาร์เตอร์ ครองสถิติสูงสุดด้วยการเผชิญชัตดาวน์ถึง 5 ครั้ง รวม 56 วัน ระหว่างปี 2520-2522

ส่วน โรนัลด์ เรแกน ก็พบกับชัตดาวน์ 5 ครั้งเช่นกัน ในช่วง 2524-2530 แต่ใช้เวลาน้อยกว่า

ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เผชิญ 2 ครั้ง รวม 36 วัน โดยเฉพาะครั้งใหญ่ในช่วงปี 2561-2562 ที่ยืดเยื้อถึง 35 วัน ซึ่งนับเป็นการปิดทำการที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

สาเหตุของชัตดาวน์มักมาจาก ข้อพิพาทเรื่องงบประมาณ และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน โดยมักผูกโยงกับนโยบายเฉพาะ เช่น การถกเถียงเรื่อง โอบามาแคร์ (Obamacare) ในปี 2556 ที่ทำให้รัฐบาลหยุดชะงัก 16 วัน หรือข้อพิพาทเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโกในช่วง 2561-2562 ส่งผลกระทบหนักต่อพนักงานรัฐ 800,000 คน และทำ GDP สูญเสียถึง 11,000 ล้านดอลลาร์ 

แต่การชัตดาวน์ครั้งนี้มีความต่างจากหลาย ๆ ครั้งในอดีต เพราะอาจส่งผล "เลิกจ้างถาวร" ไม่ใช่แค่การพักงานเหมือนที่เคยเกิดขึ้น

ในอดีต พนักงานรัฐที่ถูกพักงาน (Furlough) จะได้เงินย้อนหลังเมื่อรัฐบาลเปิด แต่ครั้งนี้ รัส โวท ผอ.สำนักบริหารและงบประมาณ (OMB) ส่งจดหมายสั่งหน่วยงานเตรียม "เลิกจ้างถาวร" เพราะต้องการลดขนาดองค์กรตามนโยบายของทรัมป์ สอดคล้องกับ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกชัตดาวน์ครั้งนี้ว่า "อาจนำสิ่งดี ๆ มาได้"  

ผลกระทบจากสนามบินถึงตลาดหุ้น

การปิดทำการรัฐบาลสหรัฐ เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่กระทบทุกคน ตั้งแต่พนักงานรัฐที่ต้องหยุดงานโดยไม่มีเงินเดือน นักท่องเที่ยวที่เจออุทยานปิด สนามบินที่วุ่นวาย ไปจนถึงนักลงทุนทั่วโลกที่กุมขมับเมื่อข้อมูลเศรษฐกิจหายไป 

พนักงานรัฐ กว่า 750,000 คนถูกพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน คิดเป็นค่าแรงที่หายไปวันละ 400 ล้านเหรียญ ส่วนคนที่ต้องทำงาน ด้วยหน้าที่พนักงานจำเป็น เช่น ตำรวจ ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ต้องรอเงินย้อนหลังจนกว่าวิกฤตจะคลี่คลาย 

การเดินทาง สนามบินอาจกลายเป็นฝันร้าย เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามบิน และ FAA หน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศ จะขาดแคลนคน เมื่อปี 2562 การขาดงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรแค่ 10 คน ทำให้เที่ยวบินทั่วสหรัฐฯ ล่าช้าเหมือนโดมิโนล้ม

สถานที่ท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติ เช่น แกรนด์แคนยอน หรือเยลโลว์สโตน ต้องปิดประตูเงียบ พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียนก็เช่นกัน นักท่องเที่ยวที่วางแผนมานานต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน

บริการอื่น เช่น การคืนภาษีล่าช้า การสมัครสวัสดิการ เช่น Social Security ชะงัก กระทบคนตัวเล็ก ๆ ที่รอเงินจากรัฐบาล เช่น ผู้สูงอายุหรือครอบครัวยากจน

ทองคำ-พันธบัตรอาจเป็นที่พึ่ง เมื่อหุ้นส่อแววร่วง

สูญเสีย GDP Goldman Sachs คาดว่าการชัตดาวน์ 1 สัปดาห์ ทำให้ GDP ลดลงร้อยละ 0.2 แต่ถ้ายืดเยื้อ 1 เดือน อาจเสียหายถึง 4,200 ล้านเหรียญ/วัน ย้อนไปปี 2562 การชัตดาวน์ 35 วันในรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ทำให้ GDP หายไปอย่างเรียกคืนกลับมาไม่ได้ถึง 3,000 ล้านเหรียญ ส่งผลให้ธุรกิจที่พึ่งพาสัญญารัฐบาล เช่น บริษัทก่อสร้าง เสียหายหนัก

ตัวเลขเศรษฐกิจจะหายไป หน่วยงานสถิติหยุดปล่อยตัวเลขสำคัญ เช่น อัตราเงินเฟ้อหรือการจ้างงาน ทำให้การตัดสินใจลงทุนยากขึ้น และอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาด

ตลาดการเงิน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจสั่นสะเทือน โดยเฉพาะหุ้นที่พึ่งพาสัญญารัฐบาล เช่น บริษัทก่อสร้างหรือเทคโนโลยี แต่ ทองคำ และ พันธบัตรรัฐบาล กลายเป็นที่พึ่ง เพราะนักลงทุนมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย 

อำนาจสหรัฐฯ สั่นคลอน สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกด้านเศรษฐกิจและการทูต แต่ชัตดาวน์ทำให้ภาพลักษณ์เสียหายเป็นอย่างมาก เช่น การช่วยเหลือต่างประเทศ "USAID" ต้องหยุดโครงการสำคัญ เช่น การกู้ทุ่นระเบิดในกัมพูชา หรือช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดช่องให้จีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน

ยกตัวอย่างการชัตดาวน์ในปี 2562 การปิด USAID ทำให้โครงการช่วยเหลือด้านสุขภาพในลาวและเวียดนามชะงัก จีนฉวยโอกาสขยายอิทธิพลผ่านโครงการ Belt and Road เช่น สร้างถนนและท่าเรือในภูมิภาค

หลังจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ?

วุฒิสภาจะโหวตร่างงบประมาณของรีพับลิกันอีกครั้งในวันที่ 1 ต.ค. (วันที่ 2 ต.ค. ตามเวลาไทย) แต่โอกาสผ่านต่ำ เพราะต้องการคะแนนเดโมแครตเพิ่ม 8 เสียง และยังติดวันหยุดยิว Yom Kippur (2-3 ต.ค.) อีกอาจทำให้เจรจาล่าช้า ถ้าชัตดาวน์ยืดเยื้อเกิน 1 สัปดาห์ ผลกระทบจะหนักขึ้นอีกมากมาย เช่น

คนอเมริกัน พนักงานรัฐที่ไม่มีเงินเดือนอาจเริ่มประท้วง หรือขาดงานมากขึ้น ส่งผลให้บริการพื้นฐาน เช่น สนามบินหรือไปรษณีย์ ชะงักหนัก

เศรษฐกิจโลก ความผันผวนในตลาดหุ้นอาจลามไปยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะถ้าข้อมูลเศรษฐกิจขาดหายนาน

การเมือง เดโมแครตและรีพับลิกันจะยิ่งโทษกันไปมา ประชาชนอาจเริ่มเบื่อและไม่เชื่อใจทั้ง 2 ฝ่าย

การชัตดาวน์ 2568 ไม่ใช่แค่การ "ปิดไฟ" รัฐบาลชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณว่า การเมืองสหรัฐฯ กำลังแตกแยกหนัก การขู่เลิกจ้างถาวรของทรัมป์ ผสมกับความดื้อแพ่งของทั้ง 2 พรรค ทำให้วิกฤตนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ 

ที่มาข้อมูล : Investing.comPotential government shutdown impacts on transportation Better World CampaignU.S. Government Shutdown Risks: 2025 Edition