วันนี้ (6 ต.ค.2568 ) นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ ในช่วง จับตาสถานการณ์ ทางไทยพีบีเอส ถึงแนวคิดรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่ให้ประชาชนตัดสินใจในการทำประชามติ ยกเลิก MOU 43 - MOU 44 หรือไม่ ทั้งที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่ต้องศึกษาข้อดีข้อเสียก่อนการตัดสินใจเพราะมีรายละเอียดทางเทคนิค ข้อกฎหมาย ผนวกกับผลสำรวจนิด้าโพล ล่าสุด ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้รายละเอียดMOU 43 - MOU 44 แล้วจะตัดสินใจได้อย่างไร
- "เพื่อไทย" ติงรัฐบาลทำประชามติยกเลิก MOU43-44 จี้ กต.แสดงจุดยืน
- โพลชี้คนไม่เข้าใจ MOU 43-MOU 44 แต่ 60.76% หนุนทำประชามติยกเลิก
- ปธ.กมธ.ต่างประเทศ เชิญ "สีหศักดิ์" แจงปมประชามติ MOU 43-44
นายนพดล ระบุว่า กรณีของ MOU 43-44 ผลประโยชน์ของประเทศ คือ ประชาชนต้องรู้ว่า MOU 43 - MOU 44 มีเพื่ออะไร มีเนื้อหาสาระอย่างไร มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร และที่มีผู้กล่าวว่ามีผลเสียต่อประเทศเช่น ยอมรับแผนที่ระวาง 1 : 200,000 หรือ เส้นประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชานั้นจริงหรือไม่ ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เช่นนั้น
แต่เมื่อมีข้อกังวลในกรณีดังกล่าว รัฐบาลควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลกับประชาชนทั้งที่มาที่ไป สาระ เช่นปี 2543 ลงนามโดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และในปี 44 รัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่ง MOU แต่ละฉบับนั้นมีที่มาที่ไปและสาระสำคัญอย่างไรประชาชนควรที่จะรับทราบ
นายนพดลยังกล่าวว่า การทำประชามติในกรณีควรมีหรือไม่นั้น ควรพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 เนื้อหาสาระ ข้อมูลต่าง ๆ ของทั้ง 2 ฉบับ ประชาชนต้องรู้ก่อน และ ประเด็นที่ 2 ใครที่จะเป็นผู้ตัดสินใจทางการเมืองที่จะยกเลิกหรือคงอยู่ มี 2 กรณีคือ 1.ครม.และ 2.ส่งไปทำประชามติ แต่ส่วนตัวการทำประชามติในเรื่องในทางเทคนิคและซับซ้อนค่อนข้างมาก การออกเสียงประชามติจะมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่
ขณะนี้ ก็มี กมธ.วิสามัญศึกษาเรื่องดังกล่าวอยู่ แต่ขั้นต้นตนเองเคยเรียกร้องให้รัฐบาลมอบหมายให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ทำหน้าที่ศึกษา เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบอยู่ด้วย ทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพ กองบัญชาการกองทัพไทย และอีกหลายส่วน ซึ่งการให้ สมช.ไปศึกษาเนื้อหาสาระและจะทราบว่าหน่วยงานของรัฐทั้ง กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมแผนที่ทหาร กรมอุทกศาสตร์ และกองทัพไทย มีความเห็นอย่างไร
ขอเรียนว่า MOU 44 (ทางทะเล) ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติ ครม.เดือน ธ.ค.ปี 57 ให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษา และกรมสนธิสัญญาฯ บอกว่า มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย คือ ไม่ยกเลิก ขณะที่ MOU 43 (ทางบก) นั้นกรมสนธิสัญญาฯ ซึ่งเป็นผู้เสนอเรื่องนี้เมื่อ 25 ปีที่แล้วให้รัฐบาลนายชวน หลีกภัยไปลงนามก็เห็นว่ามีข้อดีมากว่าข้อเสียและไม่มีความเสียหายแบบที่กังวล
นายนพดล ยังกล่าวก่อนที่จะทำประชามติเรื่องดังกล่าว คิดว่า ก่อนจะถามประชาชน หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่โดยตรงควรบอกประชาชนก่อนว่าคิดอย่างไร เพราะมีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ และใช้ MOU 43 ใช้มา 25 ปี และ MOU 44 ใช้มา 24 ปี ซึ่งหน่วยงานรัฐก็น่าจะมีข้อมูลมากกว่าประชาชน ซึ่งหน่วยงานรัฐควรบอกประชาชนว่าท่านเห็นอย่างไร ขณะที่ประชาชนต้องหาเช้ากินค่ำ ทั้ง นี้ ครม.หลังฟังความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ แล้วประมวลความเห็นก็จะสามารถตัดสินใจทางการเมืองได้ว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก
นายนพดลยังกล่าวว่า การทำประชามติเป็นการตัดสินใจทางการเมืองเพราะรัฐบาลก็มีนโยบายนี้ด้วย เพราะแถลงว่าจะทำประชามติ ส่วนตัวไม่แน่ใจในเรื่องนี้ เพราะคณะรัฐมนตรีสามารถศึกษา และประมวลข้อมูล ชี้แจงให้ประชาชนและตัดสินใจว่าจะทำประชามติหรือไม่ อาจไม่ต้องถึงประชามติ เพราะจากผลสำรวจก็พบว่า ประชาชนร้อยละ 70 ก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาของ MOU 43 ซึ่งแม้แต่นักวิชาการและผู้มีความรู้ยังมองแตกต่างกันในเรื่องนี้
รัฐบาลอาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการโต้แย้งในประเทศหลากหลาย จึงต้องการไปถามประชาชนโดยมองในมุมประชาธิปไตยทางตรง แต่จริง ๆ แล้ว ต้องดูลักษณะของประเด็นที่จะนำไปสู่ประชามติด้วย เช่น เป็นเรื่องเทคนิค เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องเขตแดน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะเหมาะสมกับการทำประชามติหรือไม่ แต่โดยส่วนตัว แนวทางออกที่ดีที่สุด รัฐบาลไปทำเอกสารสรุป หรือ คัมภีร์ MOU 43-44 ให้ประชาชนได้เข้าถึงทั้งเนื้อหาฉบับเต็มและการสรุปประเด็นเป็นเอกสารออนไลน์ ซึ่งขณะนี้การหาเอกสารยังกระจัดกระจายอยู่ และให้หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมแผนที่ทหาร กรมอุทกศาสตร์ รวมถึงกรณีของ MOU44
คาดว่า จะใช้เวลาศึกษาไม่เกิน 1 เดือนก็จะได้ข้อสรุป เพราะเรื่องนี้เป็นวิทยาศาสตร์และข้อกฎหมาย ซึ่งเมื่อรัฐบาลได้ความเห็นของหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้วก็เสนอ ครม.หรือเสนอไปยัง สมช.ให้มีความเห็นและ เสนอมายัง ครม.ก็มีมติและตัดสินใจทางการเมืองและรับผิดชอบทางการเมืองของตัวเองได้
นายนพดล กล่าวเสริมในกรณีหากยกเลิก MOU 43 ว่า กรณีการยกเลิกก็จะต้องมาเจรจากันใหม่ จะไม่มีกรอบในการพูดคุย ซึ่ง MOU ทั้ง 2 ฉบับเป็นเพียงกรอบในการเจรจาไม่ได้บอกว่าฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบ และมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์หลายเรื่อง และกัมพูชาคงจะเดินหน้าตามแผนที่ของเขา โดยไทยจะยึดแนวสันปันน้ำ (แผนที่ 1 : 50,000 ) ขณะที่กัมพูชาขาก็จะยึดแผนที่ระวาง 1 :200,000
นายนพดลยังกล่าวว่า กรณีกัมพูชาจะนำแผนที่ 1 : 200,000 โดยบอกว่าเป็นเส้นเขตแดนไทยกัมพูชาโดยจะนำขึ้นศาลโลก ซึ่งข้อต่อสู้นี้ฟังไม่ขึ้น เพราะศาลโลกตัดสินเมื่อปี 2505 (สมัยรัฐบาลจอมพลสฤทธิ์) และตัดสินในวันที่ 11 พ.ย.ปี 2556 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ดังนั้น กรณีเส้นเขตแดนก็ไม่ได้เป็นไปตามที่กัมพูชาร้องขอ ซึ่งทางกัมพูชาขอไปแต่ศาลปฏิเสธ ดังนั้นจึงต้องไปพูดคุยกันบนแผนที่คนละฉบับโดยไทยจะยึดแนวสันปันน้ำต่อไป
กรณีศาลโลก การมี MOU 43 เป็นข้อผูกพันให้กัมพูชาต้องคุยกับไทย ซึ่งในเรื่องของเขตแดนต้องตกลงและคุยกัน 2 ฝ่ายกับไทย ฉะนั้นความชอบธรรมที่กัมพูชา หรือ เหตุผลที่กัมพูชาจะยกระดับเรื่องเขตแดนไปยังเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชนชาติ หรือ ศาลโลก หรืออาเซียนก็จะน้อยลงเยอะ ถ้ามี MOU 43 นี่คือสิ่งที่เป็นข้อดีของ MOU43
อ่านข่าว : "นพดล" เสนอรัฐบาลมอบ สมช.ศึกษาข้อดีข้อเสีย MOU 43-44 ก่อนทำประชามติ
"บวรศักดิ์" แจงแก้ รธน. จ่อทำประชามติพร้อมเลือกตั้งปม MOU ไทย-เขมร