ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบปลดล็อกให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาออกมาทำงานนอกศูนย์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศ
แม้ถือเป็นข่าวดี แต่ก็มีคำถามตามมาจากหลายฝ่ายว่า การปลดล็อกนี้ป้องกันไม่ให้เกิดการ “เรียกรับเงิน” เพราะมีข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ ผู้หนีภัยการสู้รบส่วนหนึ่ง ต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการแลกกับการออกไปทำงานนอกพื้นที่
“ค่าดำเนินการ 200 บาท” ราคาที่ผู้หนีภัยต้องจ่าย
ก่อนจะมีการปลดล็อกให้เกิดการจ้างงานผู้หนีภัยทำงานนอกค่ายได้นั้น แต่ละวัน มีผู้หนีภัยจำนวนหนึ่งออกนอกค่ายไปทำงานมานานแล้ว บางคนไปเช้าเย็นกลับ มีอีกไม่น้อยที่ไปต่างพื้นที่ และบางคนไปหลายวันกว่าจะกลับ
เดือนกันยายน 2568 ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจหน้าศูนย์พักพิงแห่งหนึ่ง พบผู้หนีภัย 3 คน ออกมาหาของป่าด้านหลังศูนย์พักพิง

ผู้หนีภัย 3 คน ออกมาหาของป่านอกศูนย์พักพิง
ผู้หนีภัย 3 คน ออกมาหาของป่านอกศูนย์พักพิง
สอบถามผ่านล่ามได้ข้อมูลว่า หากพวกเขาต้องการออกไปทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ สามารถทำได้เลยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นการไปทำงานนานกว่า 1 วัน นั่นหมายถึงการต้องจ่ายเงิน 200 บาทแลกกับการได้ออกไปนอกพื้นที่ พวกเขาเรียกเงินส่วนนี้ว่า “ค่าดำเนินการ”
ผู้หนีภัยบอกว่า ขั้นตอนการออกใบอนุญาตไปทำงานต่างพื้นที่นานกว่า 1 วันนั้น ต้องแจ้งความประสงค์ไปที่หัวหน้าหน่วยภายในศูนย์ การจ่ายเงินจะเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้
“หัวหน้าหน่วย” ก็คือ ผู้หนีภัยที่มาจากการโหวตของผู้หนีภัยคนอื่นๆ ในค่าย เมื่อจ่ายเงิน 200 บาทแล้ว จะใช้เวลา 1 วันในการออกเอกสาร ก่อนส่งมาให้ผู้ขออนุญาต
ภายในเอกสารจะระบุชื่อผู้ถือเอกสาร และสมาชิกในบ้าน พร้อมปลายทางที่จะเดินทางไป รวมถึงลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ ที่ผู้หนีภัยอ้างว่า หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ลายเซ็นในเอกสาร จะช่วยให้พวกเขาไม่ถูกจับ

เอกสารที่ผู้หนีภัยระบุว่า เคยใช้ออกไปทำงานนอกค่าย
เอกสารที่ผู้หนีภัยระบุว่า เคยใช้ออกไปทำงานนอกค่าย
บริเวณศูนย์พักพิงแห่งเดียวกัน ทีมข่าวยังพบผู้หนีภัยอีกจำนวนหนึ่ง ที่ให้ข้อมูลตรงกันว่า ที่ผ่านมา หากพวกเขาต้องการออกไปทำงานต่างอำเภอ ต้องจ่ายเงินค่าออกเอกสารรับรอง เป็นเงิน 200 บาท แลกกับการออกไปได้ 3 วัน
ไทยพีบีเอส สอบถามประเด็น ”ค่าดำเนินการ” ไปยังนายกันต์พงษ์ พิพัฒมนตรีกุล นายอำเภอท่าสองยาง จ.ตาก ได้ข้อมูลว่า โดยทั่วไป ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาไม่สามารถออกนอกค่ายได้ เพราะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
มีข้อยกเว้น 3 กรณีที่ผู้หนีภัยสามารถออกนอกค่ายได้ คือ ไปประกอบพิธีทางศาสนา ไปรับการรักษาพยาบาล และไปรับการศึกษา ซึ่งทุกกรณีต้องขออนุญาตจากหัวหน้าศูนย์ฯ และไม่เสียค่าดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่พบการเรียกรับเงินแต่อย่างใด
ผมไม่มีนโยบายให้เก็บ เพราะเก็บผิดอยู่แล้ว หัวหน้าศูนย์ฯ เน้นย้ำว่าไม่มีการเก็บเงิน ซึ่งถ้าจับได้ว่ามีการเรียกรับ ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ตัดชื่อเขาออกจากศูนย์ นี่คือมาตรการของเรา
ปลดล็อกทำงานนอกค่าย ความหวังผู้หนีภัยมีรายได้
วันที่ 26 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการการทำงานของผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ปลดล็อกให้ผู้หนีภัยออกมาทำงานนอกค่ายได้ หลังความช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุขในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่งในไทยสิ้นสุดลง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ผู้หนีภัยส่วนหนึ่งบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การได้ออกไปทำงานนอกค่าย จะช่วยให้พวกเขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว พึ่งพาตัวเองได้ และไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเงินนอกระบบ
ระบบการจ้างงานต้องชัดเจน ปิดช่องทางเรียกรับ
ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า ข้อดีของการปลดล็อกให้มีการจ้างงานผู้หนีภัยออกมาทำงานนอกค่าย จะสามารถตัดปัญหาเรื่องการเรียกรับ หรือที่เรียกว่าค่าดำเนินการได้ทันที แต่โจทย์ใหญ่ที่ต้องจับตาก็คือ ระบบการจ้างงาน เพราะหากไม่ชัดเจน อาจเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการเรียกรับเงินนอกระบบได้
ถ้าขั้นตอนมันยังขลุกขลักกันอยู่ ผู้ลี้ภัยไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไง แน่นอนว่าอาจจะมีการเปลี่ยนจากแค่ไม่ได้อยู่ในระบบค่าย มาอยู่ในระบบการจ้างงาน เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่า เพื่อความแน่ใจ พึ่งพาคนกลางแล้วกัน ในแง่นี้คนกลางที่ว่าอาจจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐก็ได้ อาจจะเป็นผู้ลี้ภัยด้วยกันเอง

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ขณะที่นายอำเภอท่าสองยาง เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการเร่งด่วน จะให้หัวหน้าศูนย์ฯ ประชาสัมพันธ์กับผู้หนีภัยในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันว่า การขออนุญาตออกไปทำงานนอกพื้นที่ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ผู้หนีภัยสนใจงาน “เกษตร” มากที่สุด
กลุ่มงานความมั่นคงในจังหวัดตาก สำรวจพบว่า ผู้หนีภัย อายุ 18 – 60 ปี ในพื้นที่พักพิงฯ 3 แห่งต้องการออกมาทำงานนอกค่ายรวม 19,307 คน ในจำนวนนี้มากที่สุด คือ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จำนวน 12,952 คน รองลงมาคือ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ จำนวน 5,080 คน และ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านนุโพ อ.อุ้มผาง จำนวน 1,188 คน
สำหรับงานอันดับแรกที่ผู้ลี้ภัยให้ความสนใจ คือ “งานเกษตร” รองลงมาคือ งานแปรรูปอาหาร ตัดเย็บเสื้อผ้า ปศุสัตว์ กรรมกร งานช่าง และงานบริการ ตามลำดับ ซึ่งขณะนี้พื้นที่จังหวัดตาก เปิดให้ให้นายจ้างที่มีความประสงค์จ้างงาน คัดเลือกแรงงานด้วยตนเอง ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 3 แห่งในจังหวัดตากแล้ว
ด้านกรมการจัดหางานให้ข้อมูลว่า ผู้หนีภัยสามารถเข้าทำงานได้ทุกประเภทงาน ยกเว้น งานที่กฎหมายห้ามคนต่างชาติทำ โดยสามารถเดินทางไปทำงานที่ภาคเหนือรวม 17 จังหวัด ภาคกลาง 18 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด
แท็กที่เกี่ยวข้อง: