ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปรับแผนจัดการน้ำ “พายุแมตโม” หนุนฝนเพิ่มเหนือ-อีสาน-ตะวันออก 6-8 ต.ค.

ภัยพิบัติ
20:20
57
ปรับแผนจัดการน้ำ “พายุแมตโม” หนุนฝนเพิ่มเหนือ-อีสาน-ตะวันออก 6-8 ต.ค.
สทนช.เฝ้าระวัง “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม ทำภาคเหนือ อีสานและตะวันออกฝนตกช่วง 6-8 ต.ค. หารือปรับแผนจัดการเขื่อนสิริกิติ์-เขื่อนภูมิพล ระบายน้ำรวมกันไม่เกิน 40-50 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ส่วนเขื่อนเจ้าพระยาจะระบายน้ำให้สอดคล้องสถานการณ์

วันนี้ (6 ต.ค.2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ระยะนี้ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝน เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุ “แมตโม” จะส่งผลกระทบทางอ้อม

ทำให้ช่วงวันที่ 6-8 ต.ค.นี้ ประเทศไทยจะมีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ประกอบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีฝนตกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนที่มีน้ำมาก เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ เป็น 35 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ในขณะที่เขื่อนภูมิพล ยังคงระบายน้ำในอัตรา 5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน

ขณะเดียวกันที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประสานกรมชลประทาน ปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยระบายน้ำรวมอยู่ในห้วง 40-50 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เตรียมความพร้อมในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ หากต้องระบายน้ำเพิ่ม

เลขาธิการ สทนช. กล่าวอีกว่า ช่วงนี้ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนมีแนวโน้มลดลง กรมชลประทานจึงเตรียมปรับลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 2,400 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนลดลงประมาณ 20-25 เซนติเมตร

ส่วนการเตรียมการบริหารจัดการน้ำช่วงฝนตกหนัก จะดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อควบคุมการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที และมีระดับน้ำหน้าเขื่อนไม่เกิน +17 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมทั้งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนเพิ่มมากขึ้น ในอัตราเหมาะสมที่พื้นที่สามารถรองรับได้

ทั้งนี้ เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานประเมินผลกระทบจากพายุ “แมตโม” รวมถึงเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกพื้นที่

ยืนยันปี 68 ไม่ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 54

เลขาธิการ สทนช. ยังกล่าวถึงกรณีมีความกังวลของประชาชนว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับมหาอุทกภัยในปี 2554 โดยยืนยันว่าสถานการณ์ในปี 2568 จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน เนื่องจากปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุทั้งโดยตรงและทางอ้อม และอยู่ภายใต้สภาวะลานีญา ทำให้ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 24

ขณะนั้น 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ รองรับน้ำได้เพียง 324 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 จ.นครสวรรค์ สูงสุด 4,689 ลบ.ม.ต่อวินาที ขณะที่การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดถึง 3,726 ลบ.ม.ต่อวินาที นำไปสู่อุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่

ขณะที่ในปี 2568 แม้จะมีพายุหลายลูก แต่ทั้งหมดส่งผลทางอ้อมและมีทิศทางที่กระทบต่อไทยน้อยกว่า อีกทั้งยังอยู่ภายใต้สภาวะเป็นกลางถึงสภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้มีฝนโดยรวมไม่มากนัก ซึ่งปัจจุบันปริมาณฝนเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติร้อยละ 7 รวมถึง 4 เขื่อนหลักยังรองรับน้ำได้อีก 2,185 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 ที่ 2,748 ลบ.ม. ต่อวินาที ระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มเกิดน้ำหลากเฉพาะพื้นที่จากฝนตกหนัก แต่ทุกหน่วยงานได้บูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

อ่านข่าว

กทม. เตรียมรับมือฝุ่น PM2.5 ชวนคนกรุง WFH

ชาวสุโขทัยร้องรัฐแก้ปัญหาระยะยาว หลังเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก

"คมนาคม" เรียกประชุมนัดแรก 10 ต.ค. สรุปหาสาเหตุ ถ.สามเสนยุบ