วันนี้ (15 ต.ค.2568) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงระหว่างการประชุมรัฐสภาในวาระการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับไทม์ไลน์การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยรับจะนำข้อคิดเห็นในการอภิปรายของสมาชิกไปพิจารณาต่อไป พร้อมชี้แจงการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ในการจัดทำฉบับใหม่เป็นอำนาจของรัฐสภา แต่การทำประชามติ กฎหมายกำหนดชัดให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญต่อนายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อหารือกับ กกต. กำหนดวันทำประชามติ และกำหนดคำถามประชามติ
โดยนำเสนอไทม์ไลน์ 1.รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 2.พระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติปี 2564 และ 3.MOA มี 2 กรณีคือ 1) กรณีที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับปัจจุบันใช้บังคับ และ 2) กรณีที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติฉบับปี 2568 หากมีการประกาศใช้
ซึ่งตามข้อตกลง MOA ยุบสภาภายในสี่เดือนนับแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะครบ 4 เดือน ในวันที่ 31 ม.ค.2569 ซึ่งหมายถึงการยุบสภาในวันนั้นตามข้อตกลง MOA และตามรัฐธรรมนูญการเลือกตั้งที่เกิดจากการยุบสภา ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ซึ่งวันที่เหมาะสมที่สุดคือวัน อาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 2569 ที่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและ MOA
แต่ว่าเรื่องการทำประชามติเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 กำหนดไว้ หากเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 (8) รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องมีการจัดทำประชามติ และ กรณี 1) กฎหมายประชามติฉบับปัจจุบันกำหนดไว้ว่าให้ประธานรัฐสภาให้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่ได้กำหนด ต้องไม่เร็วกว่า 90-120 วัน นับแต่วันที่แจ้งต่อประธานรัฐสภา
เพื่อประหยัดงบประมาณ หากทำแยกต้องใช้ 6,000 ล้านบาท ก็สมควรที่จะทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งในวันที่ 29 มี.ค.2569 แต่เมื่อรับเวลา 90 วันคือวันที่ 30 ธ.ค.2568 ต้องเป็นวันที่นายกรัฐมนตรีและ กกต. ประกาศให้ทำประชามติได้ นั่นหมายความว่าต้องนับย้อนหลังในการลงมติวาระที่ 3 ควรไม่เกินวันที่ 15 - 20 ธ.ค.2568 ซึ่งจะต้องเว้นว่างระยะเวลาไว้ 10 วัน เพื่อเผื่อเวลาให้ประธานรัฐสภาเตรียมการ และ ต้องให้เวลานายกรัฐมนตรีหารือ กกต. ในการกำหนดวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง 29 มี.ค.2569
ถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าจะต้องขอความกรุณารัฐสภาแห่งนี้ ลงมติในวาระที่ 3 ในร่างทั้ง 3 ร่างที่ยุบรวมกันเป็น 1 ร่างไม่เกินวันที่ 15 ถึงวันที่ 20 ธ.ค.นี่คือกรณีที่หนึ่ง
นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ในกรณีที่ 2) กรณีที่มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติที่ได้นำทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายไปแล้ว และประกาศบังคับใช้ กรณีทำให้รัฐสภามีเวลามากขึ้นในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากการยุบสภาดำเนินการในวันที่ 31 ม.ค.2569 และเลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค.2569 เหมือนเดิม ซึ่งลดเวลาจาก 90 วันเหลือ 60 วัน ซึ่งนับ 60 วันวันสุดท้ายจะเป็นวันที่ 29 ม.ค.2569 ที่ประธานรัฐสภาต้องแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และหารือ กกต. ต้องประกาศทำประชามติ
"เพราะฉะนั้นหากเป็นอย่างนี้รัฐสภาต้องลงมติในวาระที่สาม ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่รัฐสภากำลังจะลงมติรับในวาระที่หนึ่งนี้ ช่วงวันที่ 15-19 ม.ค.2569 เว้นเวลาไว้ 10 วันเพื่อให้ประธานรัฐสภาจัดทำร่างตลอดจนคำอธิบายสาระสำคัญของร่าง เพื่อให้รัฐบาลสามารถหารือกับ กกต.ได้"
นายบวรศักดิ์ ระบุว่า ซึ่งไทม์ไลน์ดังกล่าวนั้นเป็นไปตาม MOA ซึ่งการทำรัฐธรรมนูญของรัฐสภารัฐบาลไม่อาจก้าวล่วงได้แต่ต้องมีการประสานงานกัน ในหลายเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ จึงได้เสนอไทม์ไลน์ที่รัฐบาลมองว่าควรจะเป็นเช่นนั้น
อ่านข่าว :
"โรม" แนะ "อนุทิน" เอาอย่างสหรัฐฯ ตั้งคณะทำงานถาวรปราบแก๊งคอลเซนเตอร์