บัตรภาพคำศัพท์ภาษาไทย และ คำอ่านภาษาปกาเกอะญอ ที่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสแกนรหัส QR Code เพื่อฟังเสียงจากเจ้าของภาษา คือ ผลงานสื่อการเรียนการสอนของครูโรงเรียนบ้านแม่ไคร้ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ หลังพบว่าเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชนมักประสบปัญหาการเขียนภาษาไทยผิด เพราะออกเสียงไม่ถูกต้อง และ ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง

เจ้าของสื่อการสอน คือ ครูประวิทย์ ลุงตุ้ย เยาวชนในหมู่บ้านแม่ไคร้ ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในนักศึกษาทุนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นแรก เข้าศึกษาต่อในคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2563 ก่อนสำเร็จการศึกษา และ บรรจุเป็นครูในบ้านเกิดมาแล้ว 1 ปี

ประวิทย์ ลุงตุ้ย เยาวชนในหมู่บ้านแม่ไคร้
ประวิทย์ ลุงตุ้ย เยาวชนในหมู่บ้านแม่ไคร้
เด็กในชุมชนส่วนใหญ่เป็นเด็กชาติพันธุ์กะเหรี่ยงรองลงมาคือ ม้ง ไทใหญ่ และ คนพื้นเมือง จากการฝึกเขียนตามคำบอก พบว่าเด็กบางคนออกเสียงภาษาไทยไม่ถูกก็จะเขียนผิด เด็กไม่สามารถเขียนตามได้ เลยตั้งคำถามว่าเด็กรู้จักความหมายหรือเปล่า จึงสอนความหมายไปพร้อมกับการสอนเขียน และ ออกเสียงที่ถูกต้อง ทำให้เด็กๆ เรียนได้ดีขึ้น
ครูประวิทย์บอกว่าการออกจากชุมชนไปใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องมีการปรับตัวอย่างมาก แต่ก็ได้คณาจารย์ และ เพื่อนๆ คอยเป็นแรงสำคัญในการช่วยเหลือชี้แนะ โดยเฉพาะหลักคิด"การทำงานด้วยหัวใจ" จนเมื่อมาทำหน้าที่ครู จึงรู้ว่าครู คือ ผู้เปลี่ยนแปลงทางการศึกษาให้เกิดผลเชิงบวกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เด็กอยู่กับเรา8 ชั่วโมงใน 1 วัน เมื่อเราปลูกฝังให้เด็กไป เด็กก็จะนำไปคิดและเรียนรู้ และ นำไปพูดให้ผู้ปกครองฟังทุกวัน จนเกิดความเปลี่ยนแปลง

ในมุมมองของผมคิดว่าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ตอบโจทย์มาก เช่น ตัวผมเอง ซึ่งมีพื้นฐานทางสังคมอยู่ในพื้นที่ กลายเป็นกำลังในการพัฒนาในฐานะครูเราก็อยากจะพัฒนาชุมชนให้มากกว่าที่เป็นอยู่
โรงเรียนบ้านแม่ไคร้มีนักเรียน 92 คน มีครู 11 คน สอนตั้งแต่ป 1 ถึง ม 3 โดยประวิทย์ ลุงตุ้ย เป็นครูในโครงการโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ที่ได้รับการบรรจุ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2567

สุชิน บุญเมือง ผอ.รร.บ้านแม่ไคร้
สุชิน บุญเมือง ผอ.รร.บ้านแม่ไคร้
สุชิน บุญเมือง ผอ.รร.บ้านแม่ไคร้ บอกว่าในอดีตโรงเรียนบ้านแม่ไคร้ มีครูเพียง 3 คน เพราะที่ตั้งโรงเรียนซึ่งอยู่ห่างไกลทำให้ครูมีอัตราการย้ายสูงมาก ก่อนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯจะจัดหาครูมาเพิ่มจนครบชั้น และมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการทำวิทยฐานะของครูในโรงเรียนในพื้นที่สูงจากปกติ 4 ปี เหลือ 3 ปี เพื่อจูงใจให้ครูย้ายมาบรรจุ ทำให้ปัญหาครูย้ายลดน้อยลงแต่คงไม่หมดไป เพราะครูส่วนใหญ่ก็ยังต้องการกลับไปทำงานใกล้บ้าน โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น จึงตอบโจทย์การแก้ปัญหาครูขาดแคลน
ครูจากโครงการครูรัก(ษ์) จบจากสถาบันอันมีชื่อเสียง ทำให้โรงเรียนได้ทั้งครูที่มีคุณภาพ และ ปิดปัญหาครูย้ายออก เพราะเป็นบ้านของเขาเอง มีความรักและผูกพันในพื้นที่ และ ได้ทำหน้าที่สอนรุ่นน้อง หากไม่มีโครงการนี้ อนาคตข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมีใครย้ายเข้ามา เพราะโรงเรียนพื้นที่สูง เป็นการย้ายเข้าพักรอจังหวะเพื่อย้ายออก กลายเป็นปัญหาเดิมๆ

รศ.เกียรติสุดา ศรีสุข อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ม.เชียงใหม่
รศ.เกียรติสุดา ศรีสุข อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ม.เชียงใหม่
รศ.เกียรติสุดา ศรีสุข อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ ผู้บริหารโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ม.เชียงใหม่เปิดเผยว่า ม.เชียงใหม่ ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ.กระทรวงศึกษาธิการ และ หน่วยงานอื่นๆ เปิดรับนักศึกษาทุนเข้าเรียนตั้งแต่ปี 2563 รวม 4 รุ่น จำนวนเกือบร้อยคน ที่ผ่านมา บุคลากร ของโครงการ ต้องทำงานหนัก ตั้งแต่การคัดเลือกนักเรียนจากครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จริง และ มีคุณสมบัติเหมาะสม ก่อนให้การอบรมให้เป็นครูผู้ทุ่มเท และ สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ชุมชน
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องดูแลนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเต็มที่ วิชาต่างๆ ต้องผ่านเกณฑ์ เราพยายามทุกทิศทุกทางเพื่อช่วยกันดูแลหลายๆเรื่อง และ ต้องเข้าใจเรื่องความยั่งยืนจริงๆ หากทำให้นักศึกษากลุ่มนี้ เปลี่ยนการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนของชุมชนในระยะยาว เป็นต้นแบบของการผลิตครูอีกแบบหนึ่งที่บูรณาการสร้างความหมายในการเรียนมากกว่าตำรา

เราคิดว่าหากมีครูรัก(ษ์)ถิ่นสัก 50% ในพื้นที่ ในระยะยาวคงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการย้ายเข้า-ออก สมมุติว่าครูโรงเรียนนี้ มี 8 คน หากมี 4 คนเป็นครูในพื้นที่ ก็มีแนวโน้มที่ครูจะไม่ย้าย อยากให้ส่วนกลางพิจารณาเรื่องนี้ เพราะงบประมาณต่อนักศึกษา 1 คน เพียงแค่ปีละ 1.5 แสนบาท ถือว่าคุ้มค่าในระยะยาว แต่ก็มีปัจจัยหลายๆอย่างที่ต้องใช้ความยั่งยืนเป็นตัวจับ และ ต้องออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม
ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาระบุว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 1 จำนวน 5 รุ่น ระหว่างปี 2563-2567 ครอบคลุมโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล บนภูเขา บนเกาะ พื้นที่เสี่ยงภัย ชายแดน รวมกว่า 1,500 โรงเรียน สร้างครูรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบเฉลี่ยปีละกว่า 300 คน เฉพาะครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 1 จำนวน 327 คน ได้รับการบรรจุเป็นครูใน 285 โรงเรียนทั่วประเทศ

อนุกูล ศรีสมบัติ ผอ.สพป.เชียงใหม่ เขต 1
อนุกูล ศรีสมบัติ ผอ.สพป.เชียงใหม่ เขต 1
อนุกูล ศรีสมบัติ ผอ.สพป.เชียงใหม่ เขต 1 ปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมผู้บริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทยระบุว่าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นระยะแรก ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รับนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 1,500 คน ส่วนในระยะที่ 2 ส่วนตัวมองว่าสมควรต้องดำเนินการต่อ เพราะเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ในเรื่องของการคัดเลือกครู การผลิตครูที่จะมาอยู่ในภูมิลำเนาของตัวเอง แก้ปัญหาเรื่องการโยกย้ายได้
ส่วนในอนาคตสิ่งที่อยากเสนอให้มีการปรับหลักเกณฑ์ คือ พื้นที่ห่างไกล ดอยต่างๆ ชนบทต่างๆ ทุกภาคของประเทศไทยที่อัตราครูขอย้ายเข้าไม่ค่อยมี หรือ โรงเรียนเล็กๆ ที่เราต้องการพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพ ก็ควรจะส่งเสริมให้มีโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น

โรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียนต่ำกว่า 40 คน ซึ่งทางสพฐ.มีครูให้แค่ 2 คน ก็ควรจัดครูรัก(ษ์)ถิ่นเข้าไปอยู่ในโรงเรียนเหล่านี้ ให้ครบ 3- 4 คน เพราะเมื่อได้ครูรัก(ษ์)ถิ่นซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน หรือ ตำบลนั้น เขาก็จะไม่ย้ายออกจากโรงเรียน และ พัฒนาโรงเรียนในชุมชนของเขาเองได้อย่างต่อเนื่อง โรงเรียนก็จะมีคุณภาพ
สำหรับโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 2 จะเริ่มดำเนินการในปีการศึกษา 2569 ผ่านความร่วมมือกับ 7 หน่วยงานเชิงระบบ และ 20 สถาบันผลิตครูทั่วประเทศ มุ่งยกระดับมาตรฐานการผลิตครูระบบปิด สร้างครูคุณภาพกลับไปประจำการในโรงเรียนบ้านเกิด แก้ปัญหาการขาดแคลนครูและครูโยกย้ายในพื้นที่ห่างไกลอย่างยั่งยืน
รายงาน : พยุงศักดิ์ ศรีวิชัย ผู้สื่อข่าวอาวุโสไทยพีบีเอส ศูนย์ข่าวภาคเหนือ