โลกยุคดิจิทัล AI เปรียบเสมือนดาบสองคม แม้ทุกภาคส่วนองค์กรของรัฐและเอกชนจะเปิดประตูใช้งานนวตกรรมใหม่ ๆให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการเพิ่มศักยภาพการทำงาน แต่อีกด้านหนึ่ง AI ก็ยังมีความเสี่ยง และข้อจำกัดไม่น้อย โดยเฉพาะการนำมาใช้งานในกระบวนการยุติธรรม
มีรายงานว่า ขณะนี้ศาลทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหา หลังมีการนำ AI มาใช้ในการช่วยร่างเขียนคำฟ้อง คำร้อง คำขอ และคำแถลง เพื่อยื่นต่อศาล เนื่องจากยังมีความเสี่ยงด้าน อัลกอรึทึม ข้อมูลอาจมีความลำเอียง มีปริมาณน้อย ไม่หลากหลาย แต่สำหรับงานด้านกฎหมายหรือการพิจารณาคดี ต้องอาศัยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า AI มีความถูกต้อง และเชื่อถือได้
บทความเรื่อง ข้อจำกัดของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในระบบงานตุลาการ ( The Limited Use of the Artificial Intelligence in Judicial System ) เล่มที่ 1 ปี 2567 เขียนโดย ดร. ไกรพล อรัญญา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครราชสีมา ระบุว่า ก่อนปี 2565 ระบบตุลาการของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ยังมิได้รับผลกระทบจาก AI หรือเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงครั้งสำคัญ (disruptive technologies) แต่ในฝรั่งเศสได้ผ่านกฎหมายในปี 2562 ห้ามมิให้นำ AI มาใช้เพื่อคาดการณ์ผลการดำเนินคดีโดยเด็ดขาด

ขณะที่จีนกลับเลือกดำเนินแนวทางที่แตกต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ แทนที่จะจำกัดการใช้ AI ในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลจีนกลับเห็นว่า AI เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเร่งรัดความทันสมัยของระบบศาลให้สอดรับกับยุคดิจิทัล โดยจีนมีแรงจูงใจเฉพาะในการนำ AIเข้ามาเสริมสร้างความทันสมัยของระบบยุติธรรม ทั้งในด้านการยกระดับประสิทธิภาพและการเพิ่มความน่าเชื่อถือของกระบวนการตุลาการ
โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ ปัญหาการขาดแคลนผู้พิพากษาอย่างต่อเนื่อง ความอ่อนแอของภาพลักษณ์ศาล และความจำเป็นในการปฏิรูประบบยุติธรรมให้ทันสมัย เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของจำนวนคดีในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ปี 2530 จำนวนคดีเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่า ขณะที่จำนวนผู้พิพากษาเพิ่มขึ้นเพียง 3 เท่าในปี 2558
ประกอบกับในปี 2557 ศาลประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Court – SPC) ได้กำหนดมาตรการประเมินผู้พิพากษาอย่างเข้มงวดและจำกัดจำนวนผู้มีสิทธิพิจารณาคดีไว้เพียง 39% ของบุคลากรศาลทั้งหมด เป็นผลให้ในปี 2560 จำนวน ผู้พิพากษาลดลงถึง 49% เหลือประมาณ120,000 คน จากจำนวนกว่า 200,000 คน
แม้ว่าการยกระดับความเป็นมืออาชีพของตุลาการและการยึดมั่นในหลักกฎ หมายจะเป็นเป้าหมายร่วมกัน แต่สถานการณ์ดังกล่าวกลับทำให้ระบบศาลต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปริมาณคดีที่เพิ่มขึ้น โดยมีทรัพยากร บุคคลจำกัดลงอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ จากบทความในบางช่วงตอน ดร. ไกรพล ยังระบุถึง ผลกระทบที่จากการนำ AI มาใช้มาตรฐานเดียวกัน ในการตัดสินทุกคดี อาจก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “คำพิพากษาที่แข็งกระด้าง” เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุกคดีแม้จะมีข้อหา หรือข้อเท็จจริงคล้ายคลึงกัน แต่มูลเหตุจูงใจในการกระทำของคู่ความอาจแตกต่างกัน ซึ่งในส่วนนี้ AI ไม่อาจสามารถรับรู้ในระดับเดียวกับผู้พิพากษามนุษย์
โดยยกตัวอย่างประกอบ เช่น คดีลักนมผงในห้างสรรพสินค้า 2 คดี คดีหนึ่งจำเลยรับสารภาพว่า ลักนมผง เพื่อไปขายต่อเป็นกำไร ส่วนอีกคดีหนึ่งจำเลยรับสารภาพว่า ลักนมผงไป เพราะฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีเงินซื้อนมให้บุตรกิน
ดร.ไกรพล ระบุว่า คดีลักษณะนี้ อาจเป็นเรื่องง่าย สำหรับผู้พิพากษามนุษย์ ที่แยกแยะความแตกต่างระหว่างความร้ายแรงของคดีลักทรัพย์ 2 คดี แต่สำหรับ AI มองในแง่ของการกระทำและองค์ประกอบความคิดเป็นหลัก แล้วตัดสินโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน ให้จำเลยทั้ง 2 คดี ต้องโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ
กรณีนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การที่ AI ใช้มาตรฐานเดียวกันในคดีที่มีลักษณะเหมือนกัน อาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นได้

ความเสี่ยงของอัลกอริทึมจากการใช้งาน AI ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้นายอดิศักดิ์ ตันติวงศ์ ประธานศาลฎีกา ต้องออกคำแนะการใช้งาน AI ในชั้นศาลโดยระบุว่าจำเป็นต้องมีกรอบและกติกา ตามที่องค์กรระหว่างประเทศ สภาแห่งยุโรป (Council of Europe) ,องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNESCO) และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้ให้คำแนะนำ คือ ต้องอยู่ภายใต้หลักการสำคัญเน้น “ ความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการเปิดเผย (disclose)”
สุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า ศาลยุติธรรมไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่และการใช้งาน AI แต่เน้นย้ำว่า การใช้งานในชั้นศาลจำเป็นต้องมีกรอบและกติกา เพื่อวางกรอบการใช้งานที่ชัดเจน ประธานศาลฎีกา จึงได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการปฏิบัติงานคดี พ.ศ. 2568
วัตถุประสงค์ เพื่อเน้นย้ำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีทุกฝ่ายต้องเคารพหลัก ความเป็นธรรมและความบริสุทธิ์ยุติธรรมของกระบวนการศาล โดยหลักการสำคัญ ที่คู่ความต้องยึดถือในการเรียบเรียงและยื่นเอกสารต่อศาล คือ ต้องเปิดเผย (Disclose) และโปร่งใส (Transparency) โดยคู่ความต้องเปิดเผยให้ศาลทราบว่ามีการใช้ข้อมูลที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ในการร่างเอกสารเหล่านั้น
นอกจากนี้ ต้องมีความรับผิดชอบ (Accountability) คู่ความจะต้อง ตรวจสอบผลลัพธ์ ที่ได้จาก AI เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาคำคู่ความ ข้อกฎหมาย หรือแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ AI ค้นหามาอ้างอิง เนื่องจาก คู่ความเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อเนื้อหาที่ AI สร้างขึ้น
ข้อควรระวังสำคัญอีกประเด็น คือ การนำ พยานหลักฐานในสำนวนคดีที่มีข้อมูลอ่อนไหวหรือข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ใส่ลงไปในคำสั่ง (Prompt) เพื่อให้ AI ประมวลผล คู่ความต้องระมัดระวังและพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่า จะไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อบุคคลที่สามโดยไม่ตั้งใจ
โฆษกศาลยุติธรรม ย้ำว่า แม้การใช้ Generative AI จะช่วยลดเวลาและภาระในการทำงานคดีได้จริง แต่การใช้งานในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาลนั้นมีข้อจำกัดและข้อควรระมัดระวังอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพหลัก Due Process of Law หรือกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในกระบวนพิจารณา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้ AI มาช่วยประมวลผลในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้มีในหน่วย งานของศาลเท่านั้น แต่ในชั้นการทำงานของพนักงานสอบสวนอัยการ ก็มีการใช้ด้วยเช่นกัน โดยการแถลงนโยบายการทำงานของ อิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 ระบุตอนหนึ่งว่า

“การทำคดีของพนักงานอัยการ จะต้องลงไปคลุกคลีกับประชาชน พูดคุย ดูแลปัญหาความเดือดร้อน เพื่อสามารถสอบสวนข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่า เรื่องราวเป็นมาอย่างไร เราจะไม่ได้เชื่อสำนวนการสอบสวนเพียงอย่างเดียว ...บางครั้งพนักงานสอบสวนก็จะเรียกสำนวนการสอบสวนว่า “นิยายการสอบสวน” ซึ่งเราจะไม่อ่านอะไรอย่างนี้ แต่เราจะไปเสาะหาค้นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น”
และปัจจุบันการดำเนินคดีของพนักงานอัยการก็มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการทำงานเพื่อลดสำนวนค้างคา ซึ่งมีไม่น้อย ถือเป็นใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยสนับสนุนการบริหารคดี และร่วมมือเชิงรุกกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อบังคับใช้กฎหมายปราบปรามทุจริตอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการสืบค้นข้อมูล ซึ่งไม่ได้มีข้อห้ามใด ๆ แต่สำหรับการพิจารณาหรือการวินิจฉัยคดีนั้น อิทธิพร บอกว่า พนักงานอัยการสามารถใช้ดุลยพินิจอย่างอิสระตามปกติ
แม้ AI จะมีประโยชน์มากมาย แต่ฉันใด ก็ฉันนั้น บางบริบทที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรม AI ไม่สามารถใช้หลักรัฐศาสตร์และดุลยพินิจมาพิจารณาประกอบตัดสินได้
อ่านข่าว
มฤตยูดำ "พืชเสพติด" บัญชีใหม่ "สายพันธุ์" อันตรายในโลกโซเชียล
“ตลาดลับ” ค้ายาเสพติดในโลกออนไลน์ โจทย์ใหญ่ท้าทายรัฐบาล