ไม่ได้อยู่ 1 ใน 4 ของนโยบายหลักของรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” แต่เป็นหนึ่งในปัญหาความมั่นคง คือ “ยาเสพติด” ที่มีการพัฒนารูปแบบและขบวนการค้ายาเปลี่ยนแพลตฟอร์มสู่โลกออนไลน์ นำการตลาดยุคดิจิทัล รุกคืบเข้ามาอยู่ในมือถือ มีการเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดช่วงครึ่งปีแรก 2568 เมื่อพบค่าเฉลี่ยคนไทยใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตและมือถือถึงวันละ 5 ชั่วโมง สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก
ขณะที่ค่าเฉลี่ยของการใช้เวลาบนอินเทอร์เน็ตมือถือทั่วโลก อยู่ที่วันละ 3 ชั่วโมง 46 นาที ในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด พฤติกรรมการบริโภค สินค้าในโลกออนไลน์ก็ส่งผลต่อการตลาดยาเสพติดในระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็น “ฮับ” ยาเสพติด ทั้ง ยาบ้าและไอซ์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยในปี 2567-2568 ปัญหายาเสพติดยังเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมีการนำสารสังเคราะห์มาผลิตยาบ้าและไอซ์ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ เขตรัฐฉานในเมียนมา
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNODC) ชี้ว่า ในปี 2568 ไทยยังคงเป็นเส้นทางผ่านและตลาดปลายทางของยาเสพติดชนิดนี้ โดยมีการจับกุมเมทแอมเฟตามีนได้สูงที่สุดในภูมิภาค ในปี 2567 มีการจับกุมยาบ้าได้ถึง 1,000 ล้านเม็ด

ภายใต้ยุทธศาสตร์ Seal, Stop, Safe ที่เน้นตัดช่องทางสำคัญของเครือข่ายขบวนการค้าและผลิตยาเสพติด ตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตเชื้อเพลิงทำให้จับกุมยาเสพติดได้กว่า 27 ตัน ทั้งเมทแอมเฟตามีน และคริสตัลเมท ซึ่งมีปริมาณจับกุมสูงถึง 1,700 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แม้ขบวนการค้ายาเสพติดและกลุ่มผู้ค้ายาฯ ส่วนหนึ่งยังใช้รูปแบบเดิม คือ การลักลอบขนข้ามแดน ผ่านชายแดนไทย-เมียนมา หรือชายแดนไทย-ลาว เข้ามายังจุดพักคอยในหมู่บ้านตามแนวตะเข็บ เพื่อนัดแนะรับยาเสพติดก่อนจะมี “นักบิน” ลงมาขนย้ายเข้าพื้นที่ตอนในเพื่อกระจายไปยังจุดต่าง ๆ ทั้งในเขตกทม.ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้
แต่หลังจากโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพล รูปแบบและขบวนการค้ายาเสพติดจึงเปลี่ยนโหมดและแพลตฟอร์ม ผ่านรูปแบบการตลาดและการขายยาเสพติดบนโลกออนไลน์ ผ่าน อินเทอร์เน็ต เช่น อีเมล์ เว็บบอร์ด เว็บไซต์สาธารณะ ทั้ง เฟซบุ๊ก ไลน์ X อินสตาแกรม และ Tik Tok รวมทั้ง Deep web
ข้อมูลการสำรวจและเฝ้าระวังผู้ขายยาเสพติด ระหว่างเดือน ม.ค.-ส.ค.2568 พบว่า ผู้ค้า มีความหลากหลาย ร้อยละ 60.1 เป็นผู้ชายยาเสพติด รองลงมา คือ กัญชาและใบกระท่อม และขายยารักษาโรคผิดกฎหมาย ขณะที่ x และเฟซบุ๊ก เป็นแพลตฟอร์มที่มีการใช้เพื่อการค้ายาเสพติดมากที่สุด

โดยผู้ขายกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 65 .6 เป็นบัญชีเก่าที่ดำเนินการมานาน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงของเครือข่าย ขณะที่การขยายตัวของตลาดยาเสพติดก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้ขายรายใหม่ก็มีสัดส่วนสูงขึ้น ถึง 34.4 ซึ่งการขายรายย่อยสูงถึงร้อยละ 53.3 จำนวนนี้พบว่าการขายส่งและรับตัวแทนจำหน่ายมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน
การค้ายาเสพติดบนโลกออนไลน์ทำในลักษณะเปิดเผยผ่านทางไลน์ หรือเบอร์ติดต่อเพื่อความสะดวกในการติดต่อและปิดการขาย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและปิดการขายมีการเชื่อมโยงระหว่างหลายบัญชีกับหนึ่งช่องทางติดต่อ ซึ่งเป็นกลยุทธ์และการสร้างเครือข่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม
ข้อมูลจากการสำรวจผู้ขายยาเสพติดบนอินเทอร์เน็ต ช่วงครึ่งปีแรก 2568 พบ มีผู้ขายจำนวน 46 ,643 ราย จำนวนนี้ แบ่งเป็น ผู้ขายไอซ์ออนไลน์ 31,670 ราย ยาบ้าออนไลน์ 14,926 ราย ขายคีตามีน ออนไลน์ 11,054 ราย และเฮโรอีนออนไลน์ 5,690 ราย

โดยปริมาณขายไอซ์ ประมาณ 513 กรัม ขายยาบ้าออนไลน์ 28.6 ล้านเม็ด ยาอีออนไลน์ 1.3 แสนเม็ด คีตามีนออนไลน์ 469.5 กิโลกรัม และเฮโรอีนออนไลน์ 216.1 กิโลกรัม พบว่า มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ส่วนมูลค่าการตลาดยาเสพติด ในครึ่งปีแรก 2568 อยู่ที่ 260.7 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ 741 ล้านบาท โดยมูลค่าตลาดไอซ์ออนไลน์ อยู่ที่105.2 ล้านบาท ส่วนเฮโรอีนออนไลน์ มูลค่า 24.1 ล้านบาท หากเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว พบมูลค่าการตลาดทุกชนิดยาเสพติดลดลง
สำหรับพื้นที่และเส้นทางการขายยาเสพติด พบผู้ขายกระจายอยู่ในพื้นที่ 64 จังหวัด ส่วนใหญ่ขายในจังหวัดที่ผู้ขายอาศัยอยู่ เนื่องจากการขายแบบออนไลน์สามารถทำได้ทั่วประเทศ เพราะสะดวกในเรื่องระบบบริการขนส่ง
ทั้งนี้ ข้อมูลการวิเคราะห์ เครือข่ายผู้ขายไอซ์ อาศัยอยู่ในเขตกทม. และปริมณฑล นอกจากนี้ ยังมีจัดส่งให้เครือข่ายใน จ.เชียงใหม่ ปทุมธานี โดยเครือข่ายในพื้นที่ดังกล่าวจะส่งกลับมาขายที่กทม.และปริมณฑล ในพื้นที่รับผิดชอบของป.ป.ส. ภาค 5 ภาค 2 ภาค 3 ภาค 8 และภาค 9 โดยผู้ขายใน กทม.และปริมณฑลจะส่งไปขายที่ พัทยา นครราชสีมา ภูเก็ต สงขลา ยะลา ชุมพร
เช่นเดียวกับเครือขายผู้ขายยาบ้า อยู่ในเขตกทม.และปริมณฑล ได้มีการจัดส่งให้เครือข่ายชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สมุทรปราการ ก่อนจะย้อนกลับเข้ามากทม.และปริมณฑล อีกรอบหนึ่ง

ไม่ต่างจาก เครือข่ายผู้ค้ายาอี (Ecstasy) ซึ่งจะขายในกทม.และส่งไปให้เครือข่ายที่จ.ชลบุรี ซึ่งเครือข่ายในพื้นที่จะส่งกลับมาที่กทม.เพื่อส่งต่อให้ผู้ขายในพื้นที่ จ.สงขลา ชุมพร และเครือข่าย จ.พระนครศรีอยุธยาจะส่งให้ผู้ขายที่กทม.และจันทบุรี ส่วนผู้ขายจากสงขลาส่งให้ผู้ขายในพื้นที่ชลบุรี พัทยา
และเครือข่ายผู้ขายเฮโรอีนที่ขายอยู่ในเขตกทม.และปริมณฑล ยังมีการจัดส่งยาไปให้เครือข่ายที่พัทยาและชลบุรี ก่อนจะส่งกลับมาขายในกทม.และส่งไปขายต่อ ราชบุรี นครปฐม และชุมพร
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำเข้าสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดใหม่จากเวียดนาม เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย อยู่ในพื้นที่ กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา มีการส่งต่อไปให้เครือข่ายจำหน่ายที่เมือง พัทยา ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา และเชียงใหม่ สงขลา
ส่วนผู้ที่ขายพืชในการกำกับดูแล ทั้ง กัญชา ผลิตภัณฑ์กัญชา น้ำต้มใบกระท่อม ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม.และปทุมธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต
สำหรับพืชที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษชนิดใด ๆ เช่น พืชบางชนิดจากอียิปต์ ต้นซาร์ครูนาใบ sage หรือชื่อวิทยาศาสตร์ (Salvia officinalis) Ayahuasca และ Changa ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทชนิดใหม่ (NPS)พบผู้ค้าส่วนใหญ่ อยู่ในพื้นที่กทม. กาญจนบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่และปทุมธานี พบว่า มีการจัดส่งไปให้เครือข่ายลำปาง กทม.และภูเก็ต จัดจำหน่ายด้วย
ราคายาเสพติด ข้อมูลจากรายงานพบว่า ตลาดยาเสพติดในโลกออนไลน์ แม้มูลค่าการซื้อขายจะลดลง แต่ผู้ค้ามักจะแบ่งขาย เป็นหน่วย เริ่มตั้งแต่จี ถุง ขีด เข็ม กรัม ชุด กิโลกรัมและซีซี ตามลำดับ มักจะขายในราคาจีละ 1,000 บาท ส่วนยาบ้า ขายเม็ดละ 30 บาท มีหน่วยเป็น เม็ด แถว เส้น ถุง มัดและก้อน
เฮโรอีน ใช้หน่วย กรัม บิ๊ก กั๊ก ขวด จุด หลอด แยก ห่อ กิโลกรัมและถุง กิโลกรัมละ 1,000 บาท หรือ บิ๊กละ 2,200 บาท รวมทั้ง Happy water ราคาซองละ 1,200 บาท

ข้อมูลจากการวิเคราะห์ยังระบุอีกว่า เครือข่ายยาเสพติดในประเทศไทย มีโครงสร้างแบบเครือข่าย หลายศูนย์ ( Multi-hub network) พื้นที่ กทม.เป็นศูนย์กลางหลัก ส่วนพัทยา-เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางรอง การเชื่อมโยงดังกล่าว สะท้อนถึงความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นของเครือข่ายที่สามารถกระจายสินค้าทั้งภายในประเทศและเชื่อมโยงสู่ต่างประเทศ ดังนั้นการควบคุมและปราบปรามจำเป็นต้องใช้มาตรการเชิงเครือข่ายที่จุดศูนย์กลางและจุดเชื่อมโยงสำคัญ เพื่อตัดวงจรการกระจายตัวของยาเสพติด
สำหรับกลยุทธ์การซื้อขายพบว่ามีการกระตุ้นให้เกิดการซื้อผ่าน การโพสต์บอกวิธีการจัดส่ง ราคาและมีการรักษาฐานลูกค้าด้วยการลด แลก แจก แถม และส่งฟรี การบอกต่อผ่านลูกค้า การรีวิวสินค้า สื่อสารผ่านภาพนิ่ง และใช้อีโมจิแทนตัวยา ส่วนใหญ่เป็นการโพสต์ขายยาเสพติด ร้อยละ 72.3 และร้อยละ 14.1 เป็นการโพสต์ขาย ยารักษาโรคแบบผิดแผน ร้อยละ 11.6 โพสต์ ขายพืชเสพติด
โดยแพลตฟอร์มที่นิยมใช้มากที่สุดคือ X เฟซบุ๊ก และไลน์ ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า การตลาดยาเสพติดบนโลกออนไลน์ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีการใช้กลยุทธ์ทางตลาดอย่างครบวงจร ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ การใช้ภาษา ใช้ภาพที่ดึงดูดเพื่อกระตุ้นการซื้อ รักษาฐานลูกค้า สร้างแบรนด์ เสนอการจ่ายเงินแบบปลอดภัย ทั้งหมดเพื่อให้ผู้เสพและผู้ค้าเข้าถึงยาเสพติดได้ง่ายและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว
ถือเป็นความท้าทายต่อการป้องกันและปราบปรามในยุคดิจิทัล ของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า จะใช้ยุทธศาสตร์ตอบโต้ แผนการตลาดยาเสพติดในโลกออนไลน์อย่างไร
อ่านข่าว
ประตูกล “ค่ายน้ำเงิน” จ่อกวาดยกแผง สส. “ศรีสะเกษ” แค่น้ำจิ้ม