ควันหลงเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีษะเกษ เขต 5 กำลังอธิบายปรากฎการณ์การเมืองในระดับท้องถิ่น ที่สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ การเมืองระดับประเทศ ผ่านผลสำรวจ “นิดาโพล”วันเดียวกัน ( 28 ก.ย. 2568) อย่างเห็นได้ชัด เมื่อ “คนนอก” จินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล แห่งค่ายน้ำเงิน เอาชนะ คนใน “ภูริกา สมหมาย” ค่ายแดง ด้วยคะแนนทิ้งห่างกว่า 8 พันคะแนน
“ดร.อีฟ” จินณ์ตวรรณ เป็นลูกสาวบ้านใหญ่ “ธีระ ไตรสรณกุล” อดีตสส. ศรีษะเกษ ลงแข่งกับ “กุ้ง” ภูริกา ก็เป็นลูกสาว “อมรเทพ สมหมาย” อดีตสส.เพื่อไทย ที่ล่วงลับไปแล้ว จึงถือเป็นสายเลือดอีสานขนานแท้ของคนเมืองขุนหาญ การเลือกตั้งครั้งนี้ แม้พรรคเพื่อไทยจะพ่าย แต่ถ้าจะวัดกันจริง ๆ การมีชัยของ “ภูมิใจไทย” หากไม่มีกระแสสู้รบสงคราม “ไทย-กัมพูชา” ก็อาจยังไม่ชนะขาดเสียทีเดียว
ต้องไม่ลืมว่า การเลือกตั้งสส.ศรีษะเกษ เขต 5 เมื่อปี 2566 “อมรเทพ” เพื่อไทย ได้ 32,884 คะแนน ขณะที่ “ธีระ” ภูมิใจไทย ได้25 ,837 คะแนน และยังมีตัวตัดสีส้ม “พรสิทธิ์ รักษาทรัพย์”พรรคก้าวไกล ได้ 18,978 คะแนน แต่ครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งซ่อมที่ชนกันระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่คาดการณ์ว่า จะเป็นเกมชี้ชะตา ในสนามระดับประเทศอีก 4 เดือนข้างหน้า
ด้วยปัจจัยการชิงชัยของสส.เขตในระดับพื้นที่ นอกจากหัวคะแนน ความใกล้ชิด คนบ้านใกล้ กระแสพรรคและความนิยมแล้ว ท่อส่งกำลังบำรุงและกระสุนดินดำ คือ เครื่องจักรสังหารที่สำคัญ โดยดร.อีฟ “จินณ์ตวรรณ” ได้คะแนน 37,561คะแนน ขณะที่ “กุ้ง” ภูริกา ได้ 29,277คะแนน หมายความว่า ว่าที่สส.ภูมิใจไทย มีคะแนนทิ้งห่างคนในพื้นที่ เพียง 8,284 คะแนน
ร.ศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ แพ้ไม่มาก แต่ผลภายหน้าใหญ่หลวง
1.เป็นการแพ้ในเขตพื้นที่เดิมของพรรคเพื่อไทย ที่การเลือกตั้ง ปี 2566 เพื่อไทยเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนน 32,000 ชนะ ภูมิใจไทยที่เป็นอันดับ 2 ที่ได้ 25,000 หรือชนะราว 7,000 คะแนน แต่คราวนี้คะแนนเหลือ 31,000 เป็นอันดับสอง และแพ้ภูมิใจไทยที่คะแนนขึ้นเป็น 40,000 เศษ หรือแพ้เกือบ 9,000 คะแนน
2.แปลความหมายจากคะแนน คะแนนเพื่อไทยลดลงจากเดิม ไม่มาก แค่ 1,000 คะแนน แสดงถึงฐานเสียงเดิมยังคงเลือกเพื่อไทย ในขณะที่ภูมิใจไทย นอกจาก ฐานเก่าที่เคยได้ราว 25,000 เพิ่มเป็น 40,000 หรือเพิ่มขึ้น 15,000 เท่ากับบางส่วนมาจากเพื่อไทย และบางส่วนได้จากผู้เคยเลือกพรรคอื่น แต่คราวนี้ไม่มีตัวเลือก ต้องเลือกระหว่าง 2 พรรค แล้วตัดสินใจเลือกภูมิใจไทย

3.ผู้สมัครของเพื่อไทย มีฐานะเป็นลูกสาวของ สส.เก่า เป็นคนในพื้นที่ ในขณะที่ผู้สมัครของภูมิใจไทย เป็นคนนอกพื้นที่ ไม่มีแม้สิทธิเลือกตั้งในเขตที่เลือกตั้ง
4.โดยไม่ทราบเหตุผล แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ลงมาช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งซ่อมที่ศรีสะเกษ แม้จะมีช่วงการหาเสียงที่มากกว่าปกติ เนื่องจากมีการเลื่อนวันเลือก ตั้งจาก 10 สิงหาคม เป็น 28 กันยายน 2568 ด้วยเหตุการณ์ชายแดนไม่สงบ
5.ผลการเลือกตั้ง บ่งบอกว่า ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายแดน คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยตกต่ำลง
และในอนาคต การย้ายค่ายของ สส. การเปลี่ยนพรรคสังกัดของบ้านใหญ่ นามสกุลการเมือง ที่เคยสังกัดและ จงรักภักดี อยู่กับทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมายาวนาน จะเป็นกระแสไหลออกยิ่งกว่าที่ผ่านมา ด้วยสัจธรรมข้อเดียวคือ ทุกคนอยากอยู่กับผู้ชนะ
ย้อนกลับมาดูผลสำรวจของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อวันที่ 28 ก.ย.2568 เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2568” สำรวจเมื่อวันที่ 19-24 ก.ย. 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,500 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง
พบว่า บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 ร้อยละ 27.28 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ และอันดับ 2 ร้อยละ 22.80 คือ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” จากพรรคประชาชน และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคภูมิใจไทย มาเป็นอันดับ 3 ร้อยละ 20.44 ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคไทยสร้างไทยมาเป็น อันดับ 5
ส่วนที่เหลือก็มีคะแนนลดหลั่นกันไป ทั้ง “ชัยเกษม นิติสิริ” พรรคเพื่อไทย ,พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา , พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค,เฉลิมชัย ศรีอ่อน ,วราวุธ ศิลปอาชา และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รวมทั้งคนอื่น ๆ
ค่ายส้ม “ประชาชน” ยังเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ที่ประชาชนสนับสนุนถึงร้อยละ 33.08 แต่อันดับ 2 ร้อยละ 21.64 กลับระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ และเพื่อไทยยังเป็นพรรคอันดับ 3 ที่ได้ร้อยละ 13.96 ส่วนพรรคภูมิใจไทย อันดับ 5 ร้อยละ 6.12
ด้านพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง “รวมไทยสร้างชาติ” อันดับ 6 ร้อยละ 5.52 พรรคประชาธิปัตย์ อับดับ 7 ร้อยละ 2.92 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อันดับ 8 ร้อยละ 1.72 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ และร้อยละ 1.80 อื่น ๆ คือ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคกล้าธรรม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยภักดี พรรคชาติพัฒนา และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง
มีคำถามว่า ผลสำรวจดังกล่าว ชี้วัดสนามการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 อย่างไร หากนำผลคะแนน การเลือกตั้งซ่อมสส.ศรีษะเกษ มาเป็นตัวแปร ในยามภาวะปกติ พื้นที่ จ.ศรีษะเกษ เป็นฐานที่ตั้งหลักของพรรคเพื่อไทยมาก่อน และหากพรรคเพื่อไทยยังเป็นรัฐบาล โอกาสที่พรรคภูมิใจไทย จะเข้ามาสอดแทรก ยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
แต่คลิปเสียง “ลุง-หลาน” ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่กล้าลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียง ท่ามกลางวิกฤตการสู้รบไทย-กัมพูชาที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ชาวบ้านตลอดจังหวัดแนวชายแดน ยังหวาดผวากับเสียงปืนและระเบิด

กอปรกับวันเลือกตั้งได้เลื่อนมาอยู่ในช่วง “ภูมิใจไทย” เป็นรัฐบาล ทำให้มีความได้เปรียบเหนือเพื่อไทย หลายด้าน โดยเฉพาะกระแสสงครามยังไม่สิ้นสุด จึงทำให้ ค่ายน้ำเงิน ใช้ “วิกฤต”ปักธงแจ้งเกิดให้สส.ภูมิใจไทยได้
ภาพสะท้อนจากนิดาโพล หากนำผลการสำรวจรายไตรมาส พรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ ทั้ง 3 ครั้ง มาพิจารณาจะเห็นว่า แม้พรรคประชาชน ยังมีคะแนนความนิยมมาเป็นอันดับ 1 คือ ครั้งที่ 1 สูงถึง 37.10 % ครั้งที่สองขึ้นมานำโด่ง 46.08 % แต่ครั้งที่ 3 คะแนนกลับลดลงได้ 33.08 %
แต่อันดับ 2 ที่ผลสำรวจมีคะแนนนำคือ ยังหาพรรคที่เหมาะสมไม่ได้ ครั้งที่1 13.75 % ครั้งที่ 2 ได้ 7.72 % และครั้งที่ตัวเลขอยู่ที 21.64 %
ส่วนพรรคเพื่อไทย ยังคงเป็นพรรคฯอันดับ 3 ที่ประชาชนให้การสนับสนุน แต่ความนิยมลดลงอย่างน่าตกใจ ครั้งที่ 1 อยู่ที่ 28.05 % ครั้งที่ 2 เหลือ 11.52 % และครั้งที่ 3 ได้ 13.96 %
ขณะที่ค่ายน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” มีตัวเลขที่น่าสนใจ คือ ครั้งที่ 1 ได้ 3.35 % ครั้งที่ 2 ได้ 9.76 % และครั้งที่ 3 ตัวเลขอยู่ที่ 13.24 %
ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า โอกาสที่พรรคภูมิใจไทยจะผงาด ตีคู่ยืนเทียบชั้น “เพื่อไทย” ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว ตัวเลขที่ต่างเพียง 0.72 % สำหรับค่ายน้ำเงินในอีก 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งทุกอณูของทุกพื้นที่ว่างจะถูกกระชับด้วยประตูกลที่พร้อมปิดล็อก
อ่านข่าว
มาเหนือ “โสภณ ซารัมย์” กับภารกิจใหญ่ “รองนายกฯ” ที่ต้องจับตา
“พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์” รมว.ยธ. ใต้ร่มเงา “บ้านใหญ่บุรีรัมย์”