ถือเป็นการฟื้น ครม.เศรษฐกิจกลับมาอีกครั้งของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยประเดิมประชุมนัดแรก 15 ต.ค.68 ที่รัฐสภา เป้าหมายฟังจากปากนายกฯ คือแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเดือดร้อนระยะสั้นของประชาชน
เพราะเวลา 4 เดือนในการบริหารประเทศตามเอ็นโอเอ คงไม่อาจแก้ปัญหาระยะยาว หรือแม้แต่ระยะกลางได้ แต่อย่างน้อย หาวิธีเติมเงินในกระเป๋าเพิ่มการใช้จ่ายให้กับประชาชน อย่างโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ที่เป็นนโยบายเรือธงเฉพาะหน้า ก็ยังดี
15 ต.ค.68 จึงเป็นวันแรกของการลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ซึ่งเป็นแนวทางของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง โดยนำโครงการ "คนละครึ่ง" เดิมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาปรับต่อยอด และเจ้าตัวได้ใส่เสื้อยืด ที่ทำเพื่อโปรโมตโครงการนี้โดยเฉพาะ ไปร่วมประชุม ครม.เศรษฐกิจด้วย
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ที่มีตัวแทนจากภาคเอกชนเข้ามาร่วม นอกจากรัฐมนตรีใน ครม.เศรษฐกิจ
ความจริงการประชุม ครม.เศรษฐกิจ มีเกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร หลังการเลือกตั้งปี 2544 เพื่อกลั่นกรองและพิจารณาเรื่องสำคัญๆ ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนก่อนเข้าสู่วาระการพิจารณาของ ครม.ชุดใหญ่
ภายใต้บทบาทและข้อเสนอแนะของคณะที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ที่มีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน ซึ่งเคยได้ผลักดันนโยบายหนึ่ง ที่นำไปสู่ความสำเร็จในทางปฏิบัติในสมัยเป็นคณะที่ปรึกษา รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ คือ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า
หลังจากนั้น รัฐบาลหลายชุดจะมี ครม.เศรษฐกิจ ประชุมทุกวันจันทร์เพื่อกลั่นกรองเรื่องก่อนเข้า ครม.ชุดใหญ่ในวันอังคาร แม้แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการเลือกตั้งปี 62 โดย "บิ๊กตู่" ลงมาคุม ครม.เศรษฐกิจด้วยตัวเอง
ต่อเนื่องรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน กระทั่งถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ให้ความสำคัญ และมีประชุม ครม.เศรษฐกิจ เช่นกัน แต่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนและอำนาจของ ครม.เศรษฐกิจที่มาจากนักบริหารภาคธุรกิจ ซึ่งมักตกอยู่ใต้อาณัติของฝ่ายการเมืองอีกที
การรื้อฟื้น ครม.เศรษฐกิจของรัฐบาลนายอนุทิน จึงน่าสนใจและเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย แม้จะมีกรอบเวลาทำงาน 4 เดือน แต่ถือได้ว่าเป็น ครม.เศรษฐกิจที่รัฐมนตรีมาจากเทคโนแครต หรือนักบริหารอาชีพจากภาคเอกชนมากที่สุดหากเปรียบเทียบกับรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา
จึงได้เห็นนายอนุทิน แสดงความมั่นใจว่า ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win จะสามารถแก้ปากท้องเร่งด่วนให้กับประชาชน และยังจะช่วยผลักดันกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึงร้อยละ 0.4 ของจีดีพี
โดยจะเป็นผลจาก วันจันทร์ที่ 20 ต.ค.68 กระทรวงคลังจะเสนอนโยบายท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง ทั้งนี้ เมืองรองประชาชนนำใบเสร็จไปใช้ลดหย่อนภาษี ได้ 1.5 เท่า และเมืองหลักจะได้ 1 เท่า หรือประมาณ 20,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการดอกเบี้ยต่ำสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้โรงแรมใช้ทำรีโนเวต คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท จากธนาคารออมสิน
ในสัปดาห์หน้า จะมี "แอ็กชั่นแพลน" ของกระทรวงพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และสัปดาห์ถัดไป จะเป็นคิว "แอ็กชั่นแพลน" ของกระทรวงพาณิชย์ต่อ
แม้อาจจะเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่หาก ครม.เศรษฐกิจที่อุตส่าห์ระดมมือดีจากภายนอกเข้ามาช่วยหลายคน หากสามารถ "เคาะ" ได้จริง ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ อาจได้เห็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
เว้นแต่จะโดนขวางจากนักการเมืองอาชีพที่อยู่ท่ามกลางอำนาจและผลประโยชน์มหาศาลรายรอบ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว :
"ล้างบาง" อีกรอบในมหาดไทย แค่ 2 เดือน "สายสีน้ำเงิน" กลับมาผงาด
รัฐสภาโหวตรับหลักการร่างแก้ รธน. 2 ฉบับ ประชาชน-ภูมิใจไทย คว่ำของเพื่อไทย