สมใจผู้ออกแบบเมื่อเห็น "ปูยักษ์" ขยับก้ามและเดินราวกับมีชีวิตจริง ส่วนความตื่นเต้นส่งต่อให้เหล่านักแสดงโขนที่ต้องสลับซ้อมคิวต่อสู้กับปูยักษ์ตัวเป็นๆ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแสดงโขน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
ตามท้องเรื่อง "ปูยักษ์" คือทศกัณฐ์แปลงกายมาเพื่อแก้แค้นองคตในพิธีลงสรง แต่เมื่อพญาพาลี ผู้เป็นบิดา รู้เข้าก็ลงมือต่อสู้ปราบจนทศกัณฐ์สิ้นฤทธิ์
ฉากนี้ถือเป็นฉากใหญ่และตื่นตาที่สุดในองก์แรกของการแสดงโขน ตอน "สัตยาพาลี" เมื่อทีมศิลป์ตัดสินใจทำปูยักษ์ของจริงที่สูงเท่าตึก 2-3 ชั้น คนดูแทบไม่ต้องจินตนาการ
ส่วนความรู้สึกของนักแสดงที่ต้องต่อสู้กับ "บิ๊กปู" ระดับราชาทศกัณฐ์ ก็สารภาพว่านาทีแรกที่เห็นถึงกับตะลึง เพราะมีความสมจริงและรู้ได้ทันทีว่างานหนัก เพราะทุกจังหวะของท่ารำต้องสัมพันธ์กับกลไกการขยับของหุ่นปูขนาดใหญ่ที่มีทีมควบคุม รวมถึงต้องร่ายรำให้สวยงามระหว่างลอยตัวกลางอากาศ
แต่หากคิดว่านี่ยากแล้ว ยังมีอีกโจทย์ เมื่อทีมผู้กำกับตั้งใจให้การแสดงลื่นไหล ไม่เห็นเส้นสลิงห้อยตัวกลางอากาศให้รบกวนสายตาเหมือนที่ผ่านมา ทำให้อีกฉากไฮไลต์คือพาลีดำน้ำลงไปต่อสู้กับปู จึงลดจำนวนสลิงจาก 3 เส้นเหลือแค่ 2 เส้นเท่านั้น ดูแล้วเหมือนนิดเดียว
แต่สำหรับนักแสดงหมายถึงแรงกายแรงใจที่ต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จึงจำเป็นต้องเลือกนักแสดงที่เคยผ่านการห้อยโหนสลิงมาก่อน และที่สำคัญคือต้องไม่กลัวความสูง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ง่าย
ภรต รามนัฏ นักแสดงโขน กล่าวว่า รู้สึกหวิวเมื่อต้องโหนสลิงขึ้นไปซ้อมกับปู แต่แม้ว่าจะกลัวความสูง แต่ก็อยากลองอะไรใหม่ๆ แต่สำหรับคุณัชชิติพัทธ์ ประกิจสังข์ นักแสดงโขนอีกคน กลับรู้สึกท้าท้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมตลอดเวลา เพราะต้องบังคับร่างกายไปด้วยขณะห้อยตัวกลางอากาศ
ด้านว่าที่ ร.ต.ภัทรกฤษณ์ พุ่มพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้กำกับการแสดง เปิดเผยว่า เด็กที่มาฝึกด้วยจะถามก่อนว่ากลัวความสูงหรือไม่ จากนั้นจึงจะสร้างกล้ามเนื้อ การควบคุมกล้ามเนื้อเมื่อต้องอยู่บนสลิง 2 เส้น จะตีหน้าไปอย่างไร หรือกลับหลังไปอย่างไร
ครั้งแรกที่ซ้อมจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ มีระดับความสูงไม่เกิน 5 เมตร แต่เมื่อนักแสดงมาเจอสถานที่จริง บางคนเพิ่มมาปีแรก จึงต้องให้รู้ถึงความสูง คนที่ไม่กลัวความสูงบางคนพอขึ้นไปจริงก็ทำอะไรไม่ถูก
ฉากต่อสู้ระหว่าง "พาลี" กับ "สุครีพ" จากอุบายของพระรามที่ให้สุครีพไปยั่วยุพี่ชาย ก่อนแผลงศรปลิดชีพ ซึ่งกลายเป็นที่มาของวรรณกรรม "พาลีสอนน้อง" เป็นอีกจุดพีคของโขนสัตยาพาลี เพราะนักแสดงต้องขึ้นสลิงสู้กันกลางอากาศ ต้องใช้พละกำลังมากและแม่นยำคิว ทำให้ครูผู้ฝึกสอนต้องใช้นักแสดงตัว "พาลี" ถึง 4 คน สลับเปลี่ยนกันใน 2 ฉากใหญ่คือ ฉากพาลีรบสุครีพ และฉากบู๊กับปูยักษ์
ท่วงท่าการต่อสู้ของนักแสดงโขนส่วนหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง นำมาถ่ายทอดให้เคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตบนเวที นอกจากนี้ยังมีฉาก "ทรพี-ทรพา" สู้กันในถ้ำ ที่มาพร้อมเทคนิคเปลี่ยนฉาก
และไฮไลต์ในองก์สุดท้ายกับการนำเพลง "เสมอผี" ซึ่งไม่เคยถูกใช้ในการแสดงของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาก่อน มาใช้ประกอบฉากที่ทศกัณฐ์ปลุกชีวิตเหล่ายักษ์ เพื่อออกมาสู้กับกองทัพพระราม เป็นช่วงที่ทั้งดนตรี ท่ารำและเทคนิคเวทีประสานกันจนแทบหยุดหายใจ
รศ.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดง ระบุว่า มีการนำเอาเพลงหน้าพาทย์มาใช้ ซึ่งไม่เคยใช้ในการแสดง เพื่อให้สมกับเหตุการณ์ ท้องเรื่องและตัวละคร
ได้นำเพลง 'เสมอผี' มาใช้ แต่จริงๆ เพลงนี้เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงในพิธีไหว้ครู ซึ่งมีการนำเอากระบวนท่ามาใส่
ไฮไลต์โขนตอนสัตยาพาลียังมีอีกมาก เพราะแบ่งออกเป็น 10 ฉาก 2 องก์ใหญ่ เต็มไปด้วยเทคนิคใหม่ที่นำมาผสมผสานบนเวที ทั้งเทคนิค Light Mapping, การปรากฏตัวของทศกัณฐ์ที่ไม่ได้มาพร้อมราชรถ แต่เคลื่อนเข้าฉากบนหลังช้างบนเวทีจริง รวมถึงฉากหลังที่ยังไม่เปิดเผย ถอดแบบจากภาพจิตรกรรมฝาผนังมาสร้างเป็นฉากหลัง ซ้อนอยู่เบื้องหลังการแสดงโขนของนักแสดงจริง
การซ้อมกับเทคนิคพิเศษต่างๆ เป็นโค้งสุดท้ายของการซ้อมใหญ่สำหรับนักแสดงโขนทุกคน ก่อนจะเปิดม่านการแสดงจริงที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันที่ 6 พ.ย. - 8 ธ.ค.2568
อ่านข่าว
เก็บวัตถุโบราณ เร่งบูรณะ “พระธาตุโนนตาล” อายุ 121 ปี พังถล่ม
คราฟท์มิวเซียมในฝันของ "สมลักษณ์ ปันติบุญ" ที่ดอยดินแดง
"ไข่ มาลีฮวนน่า" จากเคยเละเป็นเกือบเป๊ะเพราะ "ลดเหล้า"











