ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

คราฟท์มิวเซียมในฝันของ "สมลักษณ์ ปันติบุญ" ที่ดอยดินแดง

คราฟท์มิวเซียมในฝันของ "สมลักษณ์ ปันติบุญ" ที่ดอยดินแดง
“ดอยดินแดง” สตูดิโอกลางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยแมกไม้และผลงานปั้นแต่งจากมือของ “สมลักษณ์ ปันติบุญ” ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ แต่เท่านี้ยังไม่เพียงพอต่อความฝันปลายทางที่อยากสร้าง “คราฟท์มิวเซียม” ซึ่งแบบร่างความฝันกำลังจะเกิดขึ้นในดินแดนศิลปะแห่งนี้

ความร่มครึ้มจากแมกไม้ ความเย็นจากบ้านดินและเครื่องปั้นดินเผารูปร่างแปลกตา เป็นส่วนหนึ่งของภาพจำของผู้เคยไปเยือน “บ้านดอยดินแดง” แห่งเมืองเชียงราย สถานที่จากความตั้งใจลงหลักปักฐานของศิลปิน “สมลักษณ์ ปันติบุญ”

ด้วยความมุ่งมั่นปั้นดินจากดินใกล้ตัวที่สุด จนพบว่าแร่ธาตุแตกต่างของดินในเชียงราย ทำให้สีดินมีลักษณะเฉพาะ เป็นที่มาของชื่อ “บ้านดอยดินแดง” ที่ก่อตัวเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อเกือบ 35 ปีที่แล้ว จนวันนี้ยืนอยู่อย่างสงบและสง่างามในนามของ “แดนศิลปะ” ที่เจ้าของใช้เป็นสถานที่แห่งการสร้างงาน ซึ่งนิยามว่าเป็นทั้งศิลปะและสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต

แม้ในวันที่สมลักษณ์ ปันติบุญ ได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องปั้นดินเผา) ปี 2567 ก็ยังคงนั่งหลังแป้นหมุนหล่อขึ้นรูปงาน พร้อมกับเปิดเตาเผา “เครื่องปั้น” เสมือนการให้ชีวิตกับดินในร่างใหม่ ควบคู่กับฝันปลายทางในวัย 68 ปีที่คิดสร้าง “คราฟท์มิวเซียม” เพื่อเก็บของสะสมตลอดชีวิตการเป็นศิลปินของตัวเอง

ร่างความฝัน “คราฟท์มิวเซียม”

ความคิดสร้างคราฟท์มิวเซียม เกิดขึ้นในใจของอาจารย์สมลักษณ์มานานแล้ว โดยวางโครงร่างในใจไว้ว่าจะสร้างใกล้กับบ้านที่พักอาศัย ซึ่งเป็นที่ดินกว้าง มีเรือนไทลื้อตั้งอยู่ก่อน และศาลาประติมากรรมสำหรับจัดดิสเพลย์ผลงานของตัวเอง ซึ่งมีทั้งงานไม้ งานปั้นและงานวาด นำมาจัดแสดงและเปิดให้เยี่ยมชม

ภายในได้รวบรวมผลงานแปลกตา จากการทำเครื่องปั้นรูปทรงใหม่ๆ และเครื่องปั้นสำหรับตกแต่ง มีรูปทรงเลียนแบบธรรมชาติ เช่น เมล็ดข้าว ผลมะหาด หรือผลไม้ป่า มีจานและแจกันขนาดใหญ่ที่มีสีสันแปลกตา และการเคลือบผิวผลงานที่เน้นความประณีต รวมถึงอารมณ์ทางศิลปะ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 อาคารนับเป็นสถานที่ทำดิสเพลย์ ส่วนแบบร่างใหม่ที่จะทำมิวเซียม เตรียมสร้างอาคารขึ้นจากไม้เก่า เพื่อจัดแสดงของสะสมส่วนตัวตลอดชีวิตการเป็นนักเรียนศิลปะและเป็นศิลปินมาตลอด 40 กว่าปี

อาจารย์สมลักษณ์เล่าว่า มีทั้งเครื่องปั้นดินเผาจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สุโขทัย แสดงภูมิปัญญาและงานหัตถกรรมจากแหล่งต่างๆ รวมถึงเครื่องไม้เพื่อทำให้พิพิธภัณฑ์หรือมิวเซียมที่จะทำให้มีชีวิต เป็นงานศิลป์ในตัวและไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดๆ หรือจัดแสดงงานปั้นอย่างเดียว แต่ต้องมีองค์ประกอบของความเป็นชีวิตและการใช้สอยลงไป จึงเรียกได้ว่าเป็น “คราฟท์มิวเซียม”

ในความคิดของอาจารย์สมลักษณ์ ‘คราฟท์’ คืองานที่เต็มไปด้วยเรื่องราว การสานต่อภูมิปัญญาท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ มีมูลค่าทางจิตใจ

การสร้างคราฟท์มิวเซียมก็ถือเป็นการทิ้งทวนทำให้ของสะสมถูกเก็บอย่างรู้ความหมายและเป็นหมวดหมู่ และเพื่อให้คนเยี่ยมชมได้หรือหันมาเห็นคุณค่าของผลงานว่า ศิลปะเกิดขึ้นด้วยใจ สามารถให้การเรียนรู้กับผู้สร้างสรรค์และศึกษา รวมถึงยกระดับจิตวิญญาณของผู้สร้างงานและผู้ชมได้

โรงปั้น “ดอยดินแดง” สตูดิโอกลางธรรมชาติจากดินแดง

เมื่อเดินสู่บ้านดอยดินแดงหรือโรงปั้นของอาจารย์สมลักษณ์ จะได้สัมผัสสีเขียวของร่มไม้และมอสส์บนพื้นดินที่เดินย่ำไปให้ความรู้สึกฉ่ำเย็น เป็นสีสันกลมกลืนกับบ้านดินที่เป็นเอกลักษณ์ของสตูดิโอแห่งนี้ มองเผินๆ อาจคิดว่าอาคารหลังต่างๆ ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางต้นไม้ใหญ่น้อยที่มีอยู่แล้ว หากความเป็นจริง บ้านดอยดินแดงเริ่มต้นจากพื้นที่ว่างเปล่า มีต้นไม้เพียง 2 ต้น

แต่ที่เห็นร่มเย็นอย่างทุกวันนี้ เกิดจากการปลูกไม้ใหม่ทั้งหมด แม้แต่มอสส์ที่ดูราวกับพรมธรรมชาติ ก็ต้องเลี้ยงดูด้วยเทคนิคเพิ่มความชื้นและสร้างธาตุอาหารให้มากพอ จึงถือได้ว่าชีวิตชีวาของบ้านดอยดินแดงเกิดจากมือและหัวใจของผู้ก่อตั้ง ที่จะทำให้พื้นที่สร้างงานศิลปะจากธรรมชาติอย่างดิน มีความเป็นธรรมชาติในตัวเอง มีพื้นที่ดินว่างๆ เป็นที่อยู่ของเมล็ดพันธุ์ใหม่ เป็นการเติบโตจากปี 2534 เป็นต้นมา

หลังจากอาจารย์สมลักษณ์ได้สั่งสมฝีมือการปั้นจากประสบการณ์ต่างแดน และได้เป็นศิษย์ของ “นากาซาโตะ ทารุเอมอน” มาสเตอร์จากสายตระกูลที่มีชื่อเสียงและฝีมือทำเครื่องปั้นดินเผาของญี่ปุ่น เมื่อกลับมาจึงคิดทำโรงปั้นของตัวเอง ปัจจุบันมีทั้งโรงปั้น อาคารเตาเผาเครื่องปั้น รอบนอกจัดวางเครื่องปั้นหลากหลายแบบให้ความรู้สึกเหมือนชมศิลปะในแกลเลอรีกลางแจ้ง มีห้องเก็บเครื่องปั้นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และช็อปสำหรับผู้มาเยี่ยมชม เดินทั่วถึงกันในหลายอาคาร

แบบงานเครื่องปั้นที่มีเน้นไปที่ของใช้ในชีวิตจริง ทั้งจาน ชาม แจกัน ถ้วยชา เกิดจากการทดลองเหนือแป้นหมุนและจากเตาเผา บางครั้งจงใจทำให้ทรงแปลกตา ไม่จำกัดเฉพาะตามแม่แบบทั่วไป โดยเฉพาะสีสันลวดลายเคลือบเฉพาะในตัว อาจารย์บอกว่าไม่เคยกลัวว่ามันจะแตก เพราะหากแตกก็ทำใหม่ ซ่อมได้ก็ซ่อม ในทางปรัชญาก็คือความไม่สมบูรณ์ที่เห็นจากตัวงานศิลปะ เปรียบเทียบได้กับชีวิตมนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ

“ผมปลูกป่าเพื่อวิถีของผม มันเป็นการช่วยเหลือตัวเอง พึ่งพาอาศัยตัวเอง การสืบทอดก็เกิด ความรู้ไม่ได้ตกไปที่ไหน มันอยู่ที่เรา ที่จริงอย่างดิน ผมทำหม้อ ทำไห ถ้วยจาน ถ้าเราพึ่งพาอาศัยดิน ขับรถไปไหนก็เอามาทดลอง ภูเขาเหล่ากามันเยอะ การขุดบ่อปลาก็เยอะ ผมใช้ตลอด 20-30 ปีมานี้ ขี้เถ้าก็ใช้ที่เขาทิ้ง ผมปลูกป่า 20 กว่าไร่ เอามาใช้ อีกอย่างแร่ธาตุจากดินทุกสี อยู่ที่ความรู้ของเราที่จะเอามาใช้ ผมเผาเตาทุกอาทิตย์ก็ทดลองไป เราทำงานกับดินเราก็จะรู้ว่าดินสวยอย่างไร” อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ กล่าวถึงดินในผลงานเครื่องปั้นของบ้านดอยดินแดง

สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องปั้นดินเผา) ปี 2567

สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องปั้นดินเผา) ปี 2567

สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เครื่องปั้นดินเผา) ปี 2567

“ถ้วยชา” จากก้อนดิน ที่มากับไวรัล “เพียวมัทฉะ”

ปรากฏการณ์ความนิยมชาเขียว จนมาถึงเพียวมัทฉะในประเทศไทยจากค่านิยมว่า “มัทฉะ” เสมือน “คาเฟอีนสะอาด” (Clean Caffeine) สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพ ทำให้เกิดมูลค่าการตลาดเปลี่ยนแปลง จากการนำเข้าชามากขึ้นจากปีก่อนๆ ทั้งชาดำและผลผลิตจากชา เฉพาะชาเขียวพบว่านำเข้ามากกว่า 6,400 ตัน/ปี ซึ่งนอกจากการดื่มชาก็ยังส่งผลมาถึงความสนใจในศิลปะการชงชาผ่านถ้วยชา และทำให้ “ถ้วยชา” ถูกหยิบขึ้นมาอย่างเห็นคุณค่าและมีมูลค่า เรียกว่าคนขายชาก็ได้ขายชา คนผลิตเซรามิกก็ได้ขายถ้วย เป็นถ้วยที่มาจากผู้ผลิตที่ถนัดทำถ้วยในแบบต่างๆ ในสตูดิโอมากขึ้น

ที่ผ่านมาบ้านดอยดินแดงผลิตถ้วยชาหลากหลายแบบ ลวดลายไม่ซ้ำแบบกัน เกิดจากความสนุกของงานทดลอง ด้วยความเข้าใจในสีสันธรรมชาติที่ถูกนำมาใช้กับผลงาน เช่น สีแดงเฉดต่างๆ จากแร่ธาตุดิน สีเหลืองจากขี้เถ้าของใบไม้ และสีเขียวจากขี้เถ้าของไม้ไผ่

ในช็อปของดอยดินแดง ไม่ต่างจากแกลเลอรี ก็จะเห็นถ้วยชาที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่น หรือในแบบที่เรียกว่า “ดูเก่าตั้งแต่ออกจากเตา” มีการสั่งซื้อจากคนกลุ่มใหม่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับศิลปินที่ทำงานด้วยใจ เพราะเบื้องหลังของการทำเครื่องปั้นดินเผา เราอาจไม่ได้ชิ้นงานที่พอใจเท่ากับจำนวนที่ใส่เตาเผาจริงทั้งหมด

ยกตัวอย่างบางเตา อาจมีส่วนดีเพียง 10 ชิ้นจาก 100 ชิ้น เพราะในกระบวนการเกิดปัญหาได้ทุกเมื่อ ต่อให้ทำด้วยความชำนาญแค่ไหน แต่เมื่องานออกจากเตาก็เหมือนงานทดลองที่มีห้วงนาทีที่ต้องลุ้น และเมื่ออาจารย์สมลักษณ์ย้อนความทรงจำเกี่ยวกับการทำถ้วยชา ต้องถือว่าถ้วยชานี่แหละทำยากที่สุด ในจังหวะที่ก้อนดินเปลี่ยนรูปทรงเป็นถ้วยชา จะต้องปั้นให้มีขนาดพอดีๆ กับการใช้ฝ่ามือประคอง

การปั้นถ้วยชาสไตล์ดอยดินแดง คือต้องปั้นให้ถ้วยแต่ละใบไม่สมบูรณ์แบบ ‘ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ต้องมีเอกลักษณ์ในตัวเอง’ เป็นสิ่งที่อาจารย์สมลักษณ์ตกผลึกได้ตามความรู้สึกกับช่วงอายุที่เปลี่ยนไป

“ผมเรียนทำถ้วยชาโดยเฉพาะกับอาจารย์ที่ญี่ปุ่น เป็นครอบครัวที่ทำถ้วยชามา 426 ปี ในปี 2568 นี้ แรกๆ ผมไม่มั่นใจ ผมปั้นเยอะมาก แต่ผมเชื่อในความรู้สึกของคนญี่ปุ่น เขาบอกว่า ความรู้สึกจากการปั้นในตอนหนุ่มๆ จะเกี่ยวกับความสนุกและการฝึกฝน ถ้าอายุของเรามากขึ้น ผมก็ว่ามันไปตามรสนิยม อย่างในญี่ปุ่นก็มีการนับหนึ่งหรือได้ทดลองได้ผลิต ได้ฝึกฝนแล้วมันจะคลี่คลายไปเอง พอมันเคลื่อนไหว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็เกิด”

หัวใจสำคัญของศิลปะต้องตอบสนองการใช้ชีวิต

ในรอบ 1 ปี หลังน้ำท่วมใหญ่เชียงราย ผลงานศิลปะจากบ้านดอยดินแดง ทั้งงานวาดและงานปั้น ถูกนำไปร่วมสะท้อนความนึกคิดของศิลปินที่มีต่อเหตุการณ์ทางสังคม ในเชิงสัญลักษณ์ได้ใช้โคลนน้ำท่วมมาวาดลงบนผืนผ้าใบ รวมถึงปั้นชิ้นงานจากดินน้ำท่วมเป็นคอลเล็กชันเฉพาะกิจ เพื่อนำรายได้ไปช่วยฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม พร้อมกับถอดบทเรียนกับหลายภาคส่วน

ในการแสดงผลงานครั้งหลังสุดกับศิลปินระดับมาสเตอร์ของ จ.เชียงราย จัดเป็นนิทรรศการ Ten Perspectives on a Grand Scale นำเสนอ 10 มุมมองบนงานขนาดใหญ่ ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย เพื่อให้คนรับรู้ถึงพลังของการสร้างผลงานจากสตูดิโอขนาดใหญ่ และความหลากหลายของสตูดิโอในเชียงรายที่มีมากกว่า 60 แห่ง กระจายอยู่ในทุกอำเภอ

และส่วนของภาพความหลากสีของดินจากฝีมือของอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ใช้ภาพนามธรรมสื่อความหมายลงบนเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ ด้วยความรู้สึกถึงห้วงเวลาฉับพลันที่เกิดเหตุการณ์ ผ่านการเก็บดินจากที่ต่างๆ ที่ไหลมารวมกันในช่วงเวลานั้น จนเห็นเศษเสี้ยวสีสันเนื้อสัมผัสหลากหลายอยู่บนภาพวาด โดยใช้เวลากับแต่ละผลงานไม่นาน สอดคล้องกับคติประจำตัวว่า “ทำทันที”

อาจารย์สมลักษณ์เล่าต่อว่า ดินน้ำท่วมคือดินแดงที่ไม่ต่างจากดินที่ใช้ปั้นหม้อปั้นไห แต่เมื่อจะนำมาใช้ปั้นต้องทำส่วนผสมใหม่ หรือเรียกว่าการเสริมกระดูกให้กับดิน ไม่ให้ยุบตัวไปตามสภาพจริงของดิน ความอ่อนไหวของดินก็มีความสวยในท่าทีของมัน แต่สิ่งสำคัญความสวยนั้นได้รับใช้สิ่งที่เป็นเป้าหมายของศิลปิน เพราะในเวลาที่ปั้นขึ้นนั้น ต้องการความร่วมมือ โดยอาศัยผลงานศิลปะเชิญชวนให้คนร่วมถกเถียงถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น 

ซึ่งศิลปินเชื่อว่าประโยชน์ของศิลปะคือสิ่งจรรโลงสังคม จรรโลงโลก และเชื่อมั่นว่างานศิลปะสร้างคนได้ จึงเห็นว่าบางคนทำงานศิลปะจนวัยล่วงเลยหรือจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็เพราะสารัตถะที่ศิลปินมองเห็นจากการทำงาน ยิ่งเมื่อศิลปะเปิดกว้าง ผลงานร่วมสมัยจากศิลปินใหม่ก็จะตามมา

แต่ในฐานะศิลปินเชียงราย ตนอยากสร้างสรรค์ผลงานตามสภาวการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นกับเมือง โดยที่ผ่านมา 1 ปี มีการแก้ปัญหาในระยะสั้น ในเรื่องของการช่วยเหลือ แต่ในระยะยาวได้ร่วมกันถอดบทเรียนสำหรับการปรับตัวครั้งใหม่ เพราะธรรมชาติอาจกำลังสื่อสารบางสิ่งกับคนเชียงราย และศิลปินก็มีหน้าที่สื่อสารหรือเก็บบันทึกบางอย่างเตือนใจสังคม

น้ำอ้อย บุลสถาพร ผู้สื่อข่าวชำนาญการ ศูนย์สื่อศิลปวัฒนธรรม / บำรุง ปานเรือง ภาพประกอบ

อ่านข่าว

แลนด์มาร์คใหม่ “ฮวาเจียง” สะพานแขวนสูงที่สุดในโลกแห่งกุ้ยโจว

เก็บวัตถุโบราณ เร่งบูรณะ “พระธาตุโนนตาล” อายุ 121 ปี พังถล่ม

"มารายห์ แครี" ใส่ผ้าไหมไทย เซอร์ไพรส์แฟนเพลงในคอนเสิร์ต