วันนี้ (23 ต.ค.2568) พญ.ภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี และประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป เปิดเผยว่า โรงพยาบาลติดลบทางงบประมาณมานานกว่า 5 ปี แม้จะลดรายจ่ายและปรับระบบบริหารแล้ว แต่ยังเผชิญภาระเพิ่มจากผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีราคาแพง
เดือนกันยายนเราขาดทุน 120 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลดลงมาเหลือ 50 ล้าน แต่รายรับสะดุด ขณะที่รายจ่ายยังคงต้องเดินต่อ โดยเฉพาะค่าแรงบุคลากร ค่ายา และค่าวัสดุการแพทย์ ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

พญ.ภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี
พญ.ภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี
ค่ารักษาทารกแรกเกิดสูงกว่า 3 แสนบาทต่อคน
น.ส.สุพัตรา ผาแสง พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสระบุรี ระบุว่า หนึ่งในค่าใช้จ่ายสำคัญคือการดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะขาดออกซิเจน ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเข้าระบบ "คูลลิ่ง" เพื่อลดอุณหภูมิ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละหลายหมื่นบาท โดยทารกที่รักษาเพียง 5 วัน มีค่าใช้จ่ายกว่า 150,000 บาท และหากต้องรักษานาน อาจสูงถึง 300,000–400,000 บาทต่อราย
"โรงพยาบาลสระบุรีเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในเขตสุขภาพที่ 4 ที่มีเครื่องไนตริก สำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 40,000 บาท และมีเครื่องคูลลิ่งเพียง 3–4 เครื่องทั่วเขตสุขภาพ ทำให้ต้องรับส่งต่อผู้ป่วยจากหลายจังหวัด เตียงผู้ป่วยเด็กที่มี 12 เตียงต้องขยายเพิ่มเป็น 14 เตียง"

ผู้ป่วยซับซ้อนใช้เครื่องช่วยหายใจหลายรอบ เสี่ยงติดเชื้อดื้อยา
พญ.พรรณระพี ศรีชมภู อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลสระบุรี ระบุว่า มีผู้ป่วยอายุมากที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจจากภาวะน้ำท่วมปอด และต้องกลับมาใช้เครื่องช่วยหายใจซ้ำหลายครั้ง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และอาจมีการติดเชื้อดื้อยา ยาที่ใช้มีราคาสูงขึ้น และใช้เวลารักษานาน ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เบิกได้จาก สปสช. ไม่ถึงครึ่งของค่าใช้จ่ายจริง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าดูแลพยาบาล ค่าน้ำเกลือ และค่าห้องพัก ซึ่งไม่รวมอยู่ในการเบิกจ่าย
ผู้ป่วยบางรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถึง 4 รอบ ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมกว่า 80,000 บาท แต่เบิกคืนจาก สปสช. ได้ไม่เต็มจำนวน เพราะระบบการประเมินไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง
สปสช.ปรับลดอัตราเบิกย้อนหลัง กระทบทั่วประเทศ
ตั้งแต่เดือน ส.ค.2568 สปสช. ได้ปรับลดอัตราเบิกจ่ายผู้ป่วยในจากเดิม 8,350 บาทต่อหน่วยการรักษา เหลือเพียง 7,000 บาทเศษ พร้อมคิดย้อนหลังตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ทำให้โรงพยาบาลต้องถูกหักเงินคืนหลายสิบล้านบาท
จากเดิมเราควรได้รับเงินเดือนละประมาณ 45 ล้านบาท แต่หลังปรับลดเหลือเพียง 7 ล้านบาท และยังต้องถูกหักย้อนหลังอีก 30–40 ล้านบาท ส่งผลให้สถานะทางการเงินติดลบเพิ่มขึ้นทันที

บุคลากรเสียขวัญ-หวั่นลาออก หลังค่าตอบแทนลดลง
พญ.ภาวิณี ระบุว่า ภาระทางงบประมาณที่หดหายกระทบต่อขวัญกำลังใจบุคลากร โดยโรงพยาบาลต้องลด "พีฟอร์พี" (P4P) หรือค่าตอบแทนตามผลปฏิบัติงานลงร้อยละ 50 ในช่วงวิกฤต แม้ล่าสุดจะปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 70 แล้ว แต่ยังไม่เต็มจำนวน
ทุกคนยังเสียสละทำงานหนักเพื่อผู้ป่วย แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย อาจเกิดการลาออกเพิ่มขึ้น

ข้อเสนอปฏิรูประบบ สปสช.และบทบาทบอร์ดสุขภาพแห่งชาติ
พญ.ภาวิณี เสนอเสนอจัดตั้ง "บอร์ดใหญ่ด้านสาธารณสุขแห่งชาติ" กำกับทิศทางภาพรวมทั้งหมดทุกกองทุนในระดับนโยบายโดยการบริหารกองทุนสุขภาพในประเทศไทยจำเป็นต้องมี "ผู้บริหารกองทุน" ที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางการจัดสรรงบประมาณภาพรวมของประเทศ มีระบบบริหารที่ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบโดยตรง
บอร์ดดังกล่าวควรมีลักษณะเป็น "คณะกำหนดยุทธศาสตร์สุขภาพของชาติ" ที่ใช้ข้อมูลทางวิชาการมาวิเคราะห์แนวโน้มประชากรไทย เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงของโรคเรื้อรัง และโรคที่ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีสูง เพื่อจัดลำดับความสำคัญการใช้งบประมาณในแต่ละกองทุนอย่างเหมาะสม
อ่านข่าว :
สปสช. เร่งแก้งบผู้ป่วยใน เตรียมเข้าบอร์ด 3 พ.ย.นี้ เล็งยกเลิก Re-run
สปสช.เตรียม 4 รพ. รองรับ รพ.มงกุฎวัฒนะ หยุดบริการบัตรทอง
เปิดงบบัตรทองปี 69 กว่า 2.65 แสนล้านบาท วางกรอบ 9 ด้านบริการสาธารณสุขครอบคลุม