วันนี้ (27 ต.ค.2568) นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงสถานการณ์ส่งออกของไทยในเดือนก.ย.พบว่า ขยายตัว 19 % มีมูลค่า 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ1,000,905 ล้านบาท
เป็นการขยายต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ที่สูงสุดในรอบ 42 เดือน นับตั้งแต่เดือนเม.ย.2565 ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 29,695.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.2 % ดุลการค้า เกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้หารส่งออกไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาจากความชัดเจนของมาตรการภาษีนำเข้าต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ประกอบกับสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศการค้าโลกฟื้นตัว การส่งออกไปยังตลาดหลักและตลาดรองกลับมาขยายตัวสูง
ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปีนี้ ส่งออกขยายตัวที่ 13.9 % มีมูลค่า 254,146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 254,575.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9 % ดุลการค้า ขาดดุล 429.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยหากเทียบเป็นเงินบาท ภาพรวม 9 เดือนแรก ส่งออก มีมูลค่า 8,397,219 ล้านบาท ขยายตัว 5.6 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 8,516,656 ล้านบาท ขยายตัว 3.8 % ดุลการค้า ขาดดุล 119,437 ล้านบาท
แนวโน้มการส่งออกมีทิศทางที่ดีขึ้น จากความชัดเจนของภาษีสหรัฐ เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวกำลังซื้อกลับมา และภาษีส่งออกไปสหรัฐที่ไทยถูกเรียกเก็บ 19 % สามารถแข่งขันได้กับอาเซียน ส่วนปัจจัยเสี่ยง มีเรื่องค่าบาท และซัพพลายจากจีนรวมถึงการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่จะส่งผลต่อค่าเงินบาทไทยให้แข้งค่าขึ้น
ผอ.สนค กล่าวว่า เป้าส่งออกปีนี้ กระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน เดิมมองไว้ที่ 2-3 % แต่หลังจากมีปัจจัยบวกทั้งเศรษฐกิจโลกฟื้น ความชัดเจนเรื่องภาษี ดัชนีการผลิตโลกที่ฟื้นตัว หากในช่วง3 เดือนที่เหลือ สามารถส่งออกได้เฉลี่ย 25,000-26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะทำให้ทั้งปีตัวเลขส่งออกทั้งปีอยู่ที่ 9.4-10.4 %
หากส่งออกทั้งปีโตที่ 9.4 % มูลค่าส่งออกจะอยู่ที่ 326,146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นเงินบาท ที่ 10.5 ล้านล้านบาท แต่หากขายยตัวที่ 10.4 % จะมีมูลค่าที่ 332,146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นเงินบาทที่ 10.67 ล้านล้านบาท ซึ่งจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งมูลค่าและสัดส่วน
สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัว 8.1 % หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน สินค้าเกษตร หดตัว 18.2 % หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.1 % กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน
สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่แปรรูป ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ และไอร์แลนด์ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขยายตัวในตลาดอินเดีย จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ลาว เวียดนามและญี่ปุ่น
น้ำตาลทราย ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ลาว ปากีสถาน และนิวซีแลนด์กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เมียนมา และแคนาดา ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัว 31.4% หดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน หดตัวในตลาดสหรัฐฯ อิรัก แอฟริกาใต้ เบนิน และเซเนกัล แต่ขยายตัวในตลาดจีน โกตดิวัวร์ แคนาดา มาเลเซีย และฮ่องกง
ยางพารา หดตัว 15.3 % หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน ในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดจีน ตุรกี เยอรมนี ปากีสถาน และโรมาเนีย ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัว 55.5 % หดตัวต่อเนื่อง เป็นต้น ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 0.6 % ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 26.4% ขยายตัวต่อเนื่อง 18 เดือน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัวเช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เป็นต้น 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 18.6 %
ผอ.สนค.กล่าวอีกว่า ส่วนตลาดส่งออกสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง ขณะเดียวกันการส่งออกไปตลาดอื่น ๆ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน (5) และในตลาดรอง อาทิ เอเชียใต้ ทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ล้วนขยายตัว สะท้อนถึงการตอบสนองต่อมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ด้วยการกระจายตลาดทางเลือกใหม่
โดยแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะยังคงขยายตัว แม้จะอยู่ในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน ทั้งการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้า เร่งปิดดีล FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา เข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าในกลุ่มเฝ้าระวัง รวมถึงสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้
อ่านข่าว:
“ไทย-สหรัฐฯ” แถลงการณ์ร่วม กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน ตั้งเป้าสรุปผลปลายปีนี้
“ผ้าไทย” จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ สานภูมิปัญญาไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับโลก
“ศุภจี”ลุย 2 เวทีใหญ่ อาเซียน–เอเปค ดันไทยศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล











