“ถามว่า คิดถึงท่านไหม คิดถึงมาก .... รู้สึกเสียใจ ใจหาย ทุกสิ่งที่ท่านทำให้พวกเรา อยากบอกท่านว่า ตีมอกาเซะ รายอกีตอ (ขอบคุณมาก ๆ พระราชาและพระราชินีของเรา)”
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มะรอพี แดเนาะ เด็กชายวัย 12 ปีและเพื่อน ๆ อีก 50 คนจากตำบลใกล้เคียงในพื้นที่ อ.รือเสาะ และอ.สุคีริน จ.นราธิวาส ได้เดินทางจากบ้านเกิด ติดตามขบวนเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเสด็จแปรพระราชฐานมายังพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร โดยครั้งนั้นได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้นำเด็กชาวไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เข้ารับการฝึกอาชีพที่สวนจิตรลดา
มะรอพี คือ เด็กชายคนหนึ่งที่ได้รับโอกาส เขาและเพื่อนจากถิ่นกำเนิดเมื่อปี 2528 และได้เดินทางกลับบ้านอีกครั้งเมื่อปี 2534พร้อมกับความรู้ความชำนาญในการถักทอกระเป๋าที่ทำจากย่านลิเภา และพร้อมที่จะนำมาถ่ายทอดให้กับชาวบ้านในฐานะครูสอนทำย่านลิเภา เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ที่แยกย้ายไปเรียนวิชาชีพในสาขาอื่น ๆ ก็กลับมาเป็นครูเพื่อไปสอนตามภูมิลำเนาเดิมของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
เมื่อก่อนฐานะทางบ้านยากจนมาก พ่อแม่มีลูก 8 คน ไม่สามารถส่งเสียให้เรียนหนังสือได้ ตอนนั้นสมเด็จ ฯ ท่านเสด็จมาเยี่ยมประชาชน พ่อแม่ก็ไปเข้าเฝ้า ถามว่ามีลูกกี่คน ท่านก็บอกว่า จะขอลูกไปเรียนฝึกอาชีพได้ไหม ตอนนั้นผมเรียนจบป.6 แล้ว พ่อแม่ก็ให้ตามขบวนเสด็จท่านมาเลย
พอเรียนจบ ตอนกลับมาถึงบ้านใหม่ ๆ ก็สอนทำกระเป๋าย่านที่ลิเภาอยู่ที่บ้านบือราเป๊ะ อ.เมือง ต่อมาก็ไปสอนที่อ.สุคีริน พอเกิดเหตุไม่สงบก็ถูกเรียกตัวกลับมาให้เป็นครูได้เงินเดือนจากมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพเดือนละ 6,000 บาท” ครูศิลปาชีพ แผนกลิเภา อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ย้อนเรื่องราวในอดีต
มะรอพี บอกว่า โครงการฝึกสอนอาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้คนมุสลิมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชาวบ้านจากเดิมมีอาชีพกรีดยาง ก็ได้ทำอาชีพเสริมที่เป็นรายได้หลักนำมาเลี้ยงครอบครัว ส่งลูกเรียนหนังสือ และสามารถซื้อที่ดินเป็นของตนเองได้ทุกครอบครัว
“เมื่อก่อน สมเด็จฯท่านจะเสด็จแปรพระราชฐานมาที่นราธิวาสทุกปี ก็จะโปรดให้ชาวบ้านเข้าเฝ้า ทั้งครูสอนและลูกศิษย์ให้เอางานมาประกวด ใครฝีมือดีก็ได้รางวัลชนะเลิศ ลำดับต่าง ๆไป ท่านประทานเงินรางวัลให้แล้วยังซื้อกระเป๋ากลับไป ท่านจะเอาใจใส่มาก ถามมีลูกกี่คน เรียนหนังสือหรือเปล่า นอกจากพระราชทานเงินรางวัลแล้ว ท่านยังสร้างงาน สร้างอาชีพให้ด้วย ถ้าไม่มีท่าน ป่านนี้ พวกเราไม่รู้อยู่ตรงไหนของประเทศ คงไปรับจ้างทำงานอยู่ที่มาเลเซียแล้ว” มะรอพีกล่าว
โครงการส่งเสริมศิลปาชีพในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ ฯ ในเขตพื้นที่ จ.นราธิวาสนั้น เกิดขึ้นในปี 2543 และปัจจุบันยังดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ราษฎรได้ฝึกอบรมวิชาชีพเสริมตามความสมัครใจในหลายอาชีพทั้ง วิชาชีพปักผ้าและจักสานย่านลิเภา การทำเสื่อกระจูด ย่านลิเภา เรือกอและจำลอง รวมทั้งงานหัตกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นรายได้เสริมโดยเน้นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม
ไม่ใช่แค่ที่บ้านบูเก๊ะสูดอ หมู่ 2 ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ เท่านั้นที่โครงการส่งเสริมอาชีพในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ส่งครูศิลปาชีพเข้าไปช่วยสอนงานฝีมือเพื่อให้ชาวบ้านทั้งตำบลมีงานทำ
แต่ที่อำเภอชายแดนพื้นที่สีแดง อ.แว้ง อ.สุคีริน และ อ.ยี่งอ ก็ยังมีครูสอนศิลปาชีพที่ดั้นด้นเดินทางเข้าไปสอน เช่นเดียวกับ อ.รือเสาะ ซึ่งชาวบ้านจากบ้านบริจ๊ะ หมู่ 7 และหมู่ 5 ต.ลาโล๊ะ ได้ส่งสมาชิกในบ้านจาก 20 ครัวเรือน เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของ “อับดุลรอนิง หรือ ดุลรอนิง วาจิ” ครูศิลปาชีพแผนกย่านลิเภา ครูทำย่านลิเภาที่มีฝีมือดีที่สุดของประเทศอีกคนหนึ่ง
และด้วยฝีมือการถักทออันละเอียดและประณีตจึงทำให้กระเป๋าย่านลิเภาของครูอับดุลรอนิงเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จฯ และส่งผลให้ชีวิตครอบครัวของครูศิลปาชีพคนนี้ พลิกฐานะจากชาวบ้านยากจน มีกินมีใช้ขึ้นมาในปัจจุบัน
อับดุลรอนิง เล่าว่า เรียนการทำกระเป๋าย่านลิเภาจากครูยะโก๊ะ เจ๊ะบอสู ซึ่งอยู่ใน อ.ยี่งอ แต่ขณะนั้นฝีมือยังไม่ดีนักและหัดทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 2525 มีโอกาสไปเข้าเฝ้าพระราชินีที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์พร้อมทั้งนำกระเป๋าสานย่านลิเภาเข้าส่งประกวด
“ท่านตรัสชมว่า ฝีมือดี ผมตามเสด็จท่านต่อไปที่ จ.เชียงใหม่ และสกล นคร เพื่อให้ดูฝีมือและลวดลายของแต่ละพื้นที่ที่มีการจักสานย่านลิเภา ต่อมาในปี 2535 ท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ ก็ให้กลับมาเป็นครูไปสอนชาวบ้านหลายหมู่บ้านในต.เชิงคีรี อ.ศรีสาคร ทั้งสอนสมาชิกและก็ทำกระเป๋าส่งเข้าประกวดเวลาพระองค์ท่านเสด็จแปรพระราชฐาน”ครูศิลปาชีพ เล่า
ผลการประกวด อับดุลรอนิง ชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้เงินรางวัลจำนวน 80,000 บาท สร้อยคอทองคำพร้อมล็อกเกตเลี่ยมทองหนัก 5 บาท และเงินทุนพระราชทานอีก 200,000 บาท
และในปี 2550 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ราษฎรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ ฯ นั้น อับดุลรอนิงก็เป็นครูศิลปาชีพคนเดียวที่ได้รับเงินพระราชทานสูงสุดเป็นจำนวน 400,000 บาท
“จำได้ว่า ท่านบอกว่าไม่เคยให้ใครเยอะเท่านี้ เงินจำนวนนี้ขอให้เก็บไว้ใช้ในครอบครัวและส่งลูกเรียนหนังสือให้จบ ผมก็ได้นำเงินที่ท่านให้มาซื้อสวนยาง 20 ไร่ ปลูกทั้งยางพาราและลองกองมีเงินทำบ้านใหม่”
ตอนที่ท่านยังไม่เข้ามาชาวบ้านที่นี่ลำบากมาก ไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดเข้ามาเลย แต่พอท่านลงมา ทั้งในหลวงและราชินี เส้นทางเปิดโล่งหมดทุกอย่าง ไม่รู้จะบอกอย่างไร ท่านแนะทุกอย่างแม้กระทั่งการประกอบอาชีพ ท่านว่า ให้ปลูกทุกอย่างที่กินได้ กินทุกอย่างที่เราปลูกที่เหลือก็ให้แบ่งปัน
ชีวิตครอบครัวของครูอับดุลรอนิงทุกวันนี้ ถือว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับ“อาเยาะ(พ่อ)ดุลล้อม เดอเระ วัย 70 ปี และอาเยาะ ยิ แตเต๊อะ วัย 80 ชาว บ้านหมู่ 5 ต.ลาโล๊ะ ทุกวันหากไม่ออกสวนไปกรีดยาง 2 พ่อเฒ่าก็จะนั่งสานย่านลิเภาอยู่ที่บ้าน
โดยทุกวันศุกร์ซึ่งถือเป็นวันละหมาดใหญ่ของชาวไทยมุสลิม หลังจากเสร็จพิธีละหมาดแล้วก็จะให้ลูกหลานซิ่งมอเตอร์ไซค์มาส่งที่บ้านครูอับดุลรอนิง เพื่อตรวจข้อบกพร่องของงานฝีมือก่อน ซึ่งสมาชิกทุกคนจะต้องยอมรับกติกานี้ก่อนจะส่งชิ้นงานเข้ายังมูลนิธิศิลปาชีพสวนจิตรลดา
อาเยาะดุลล้อม เล่าว่า หัดทำกระเป๋าย่านลิเภามาตั้งแต่ปี 2535 เพราะเห็นว่างานประเภทนี้ทำอยู่กับบ้านและมีครูสอนอยู่ใกล้ๆบ้าน อีกทั้งวัสดุก็มีในท้องถิ่น ในช่วงที่อายุยังไม่เยอะสามารถขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปหาต้นย่านลิเภาในป่าพรุ
“หากเป็นต้นย่านลิเภาสีดำ จะขึ้นในป่าพรุของ อ.ตากใบ ถ้าต้องการสีน้ำตาล ต้องเข้าไปหาที่อ.รือเสาะ ซึ่งปัจจุบันไปไม่ไหวแล้ว แต่มีชาวบ้านไปตัดมาขายให้มัดละ 80 บาท มัดหนึ่งจะมี 100 เส้น กระเป๋าย่านลิเภาใบหนึ่งเฉลี่ยจะใช้ต้นย่านลิเภาใบละ 200-300 เส้น”
อาเยาะ ดุลล้อม บอกว่า ทุกวันนี้ แม้จะแก่แล้วก็ยังทำงานได้ สมเด็จฯ ท่านเลี้ยงคนเฒ่า คนแก่ให้มีงานทำอยู่กับบ้าน ท่านช่วยเหลือชาวบ้าน และประชาชนมาตลอด ไม่เคยเลือกยากดีมีจน เมื่อก่อนพอรู้ว่าท่านจะเสด็จแปรพระราชฐาน ชาวบ้านจะไปเข้าเฝ้า อาเยาะยังไปเลย เขาจะบอกต่อ ๆ กันว่า รายอ (ในหลวง,ราชินี) จะมาเราก็จะพาไปเฝ้ารอที่สถานีรถไฟ ชาวบ้านอยากเห็นท่าน
พอท่านลงจากรถไฟ ก็จะขับรถยนต์ไปต่อ ในหลวงจะเป็นคนขับ ท่านจะขับไปช้าๆเราเห็นหน้าท่าน ก็ดีใจ รู้สึกอบอุ่น เวลาท่านกลับเราก็จะตามไปเฝ้าข้างทางแอบมองท่านทั้งสองพระองค์ไม่อยากให้ท่านกลับ
ที่มา: เรื่่องเล่าหลังเลนส์
ที่มา: เรื่่องเล่าหลังเลนส์
ขณะที่อาเยาะยิ กล่าวเสริมว่า ชาวบ้านที่ทำย่านลิเภาจะมีรายได้เสริมที่สามารถเป็นรายได้หลักยามที่ยางพาราไม่ได้ราคา คนเฒ่า คนสูงอายุก็ทำได้ สายตาไม่ดีก็ใส่แว่นเอาและใช้เวลาว่างๆทำ พอมีรายได้ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน ปีหนึ่งทำได้ 2-3ใบ เคยได้รับเงินจากมูลนิธิศิลปาชีพส่งมาสูงสุด 20,000 บาท ค่อยๆทำไป ถ้าไม่มีท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตชาวบ้านจะเป็นอย่างไร
ในทุกๆเดือนอาเยาะยิและเพื่อนสมาชิกศิลปาชีพจะเข้ามาที่บ้านครูอับดุลรอนิง เพื่อให้ตรวจความละเอียดและความถูกต้องของชิ้นงานที่ทำ โดยอาเยาะยิ บอกว่า การถูกแก้งานหรือรื้องานใหม่ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคนแก่บางครั้งอาจมีปัญหาด้านสายตา
แต่การที่สมเด็จฯยังทรงรับซื้องานฝีมือของชาวบ้านอยู่ ทำให้รู้สึกมีกำลังใจว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งท่านไม่เคยทิ้งประชาชนเลย
เป็นเรื่องราวและเรื่องเล่าในอดีตที่ผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ทุกภาพจำของชาวไทยมุสลิมชายแดนใต้ที่มีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังแจ่มชัดในใจเสมอ
หมายเหตุ: ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก นภันต์ เสวิกุล อดีตช่าวภาพตามเสด็จฯ
ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก มะรอพี ครูศิลปาชีพ
อ่านข่าว
ผู้นำโลกส่งสาส์นแสดงความเสียใจ "สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง" สวรรคต
5 ทศวรรษแห่งพระเมตตา "ผ้าไหม" พื้นบ้านสู่มรดกภูมิปัญญาไทยระดับโลก











