สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อพสกนิกรไทย โดยเฉพาะประชาชนในชนบทซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและมีรายได้จำกัด พระองค์ทรงตระหนักถึงความยากลำบากของราษฎร และได้ทรงริเริ่มแนวทางสร้างอาชีพเสริมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วประเทศ
เมื่อปี พ.ศ.2513 พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้ส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและการทอผ้าไหมไทย เพื่อสร้างรายได้และอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้านให้คงอยู่ โดยได้พระราชทานแนวคิดให้จัดตั้ง "มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอาชีพหัตถกรรมไหมแก่ราษฎรทั่วประเทศ ทั้งด้านการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม การย้อมสีธรรมชาติ และการทอผ้าไหมลวดลายงดงามตามเอกลักษณ์ไทย
พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการสวมฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมไทยในทุกโอกาส และทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งหน่วยงานหลักเพื่อดูแลการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอย่างเป็นระบบครบวงจร เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืน และสามารถพึ่งพาตนเองได้ พระราชกรณียกิจเหล่านี้ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจแก่คนไทยทั่วประเทศ และทำให้ "ไหมไทย" กลายเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
ในปี พ.ศ.2545 คณะกรรมาธิการหม่อนไหมระหว่างประเทศ (International Sericultural Commission – ISC) ได้ถวายรางวัล "หลุยส์ ปาสเตอร์" (Louis Pasteur Awards) แด่พระองค์ เพื่อยกย่องในฐานะผู้ทรงพระปรีชาสามารถและทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อวงการหม่อนไหมของโลก พร้อมจัดงานถวายพระเกียรติ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ต่อมาในปี พ.ศ.2550 พระองค์ได้พระราชทาน "ตรานกยูงไทย" เป็นสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานคุณภาพผ้าไหมไทย 4 ประเภท ได้แก่ นกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) สีเงิน (Classic Thai Silk) สีน้ำเงิน (Thai Silk) และสีเขียว (Thai Silk Blend) เพื่อยกระดับผ้าไหมไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ปัจจุบันได้จดทะเบียนรับรองในต่างประเทศแล้วกว่า 35 ประเทศ
เพื่อต่อยอดพระราชดำริด้านหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดตั้ง "สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2548 เป็นหน่วยงานหลักดูแลการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การรักษาพันธุ์ไหมพื้นเมือง และการส่งเสริมอาชีพด้านหัตถกรรมไหมอย่างครบวงจร ก่อนยกระดับเป็น "กรมหม่อนไหม" เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2552 เพื่อให้การขับเคลื่อนงานด้านไหมไทยมีเอกภาพและยั่งยืน
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระองค์ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาอันทรงเกียรติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2555 ว่า "พระมารดาแห่งไหมไทย" เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติในพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ทรงอนุรักษ์ สืบสาน และพัฒนาไหมไทยให้รุ่งเรือง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างภาคภูมิ
"แม่ครูหลวง" หัตถศิลป์จากหัวใจลูกหลานแห่งไหมไทย
หนึ่งในผู้สืบสานพระราชปณิธาน คือ "แม่ครูหลวง สุนา ศรีบุตรโคตร" วัย 80 ปี ชาวบ้านหนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ผู้เป็น "1 ใน 4 ทหารเสือราชินีผ้าไหมไทย” และเป็นศิลปินผู้คร่ำหวอดในงานทอผ้าขิดไหมมายาวนานกว่า 40 ปี
แม่ครูหลวงเล่าว่า เมื่อปี พ.ศ.2525 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร และได้เสด็จมากราบนมัสการหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ จ.อุดรธานี ตนมีโอกาสนำผ้าขิดไหมที่ทอด้วยมือไปถวาย พระองค์ทรงตรัสว่า "สวยมาก" และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น "ครูหลวง" ตั้งแต่นั้นมา
แม่ครูหลวงจึงก่อตั้งโครงการทอผ้าขิดไหมภายในบ้าน เพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาให้ชาวบ้านในชุมชน นอกจากนี้ยังเคยได้รับพระราชทานโอกาสให้ไปสอนทอผ้าไหมที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้ได้เรียนรู้ลวดลายใหม่ ๆ ที่พระราชทาน และสร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัวจนบุตรทั้ง 5 คนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
แม่ครูหลวงสุนายังคงตั้งใจถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าไหมให้ลูกหลานในชุมชนต่อไป แม้วันนี้พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว เธอกล่าวด้วยน้ำตาว่า "ถึงแม้ข้าพเจ้าจะทอผ้าไม่ไหวแล้ว แต่จะให้ลูกหลานสืบสานผ้าไหมไทยต่อไป ... เพื่อให้ผืนผ้าไหมยังคงบอกเล่าความงดงามของพระราชินีผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน"
ที่มา : สำนักงานพระคลังข้างที่
อ่านข่าวอื่น :
ผู้นำโลกส่งสาส์นแสดงความเสียใจ "สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง" สวรรคต
สนามหลวงจัดจุดพักคอย ปชช.ถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์











