แม้จะใช้เสียง สส.เพียง 1 ใน 5 ของ สส.ในสภาฯ หรือประมาณ 100 คน ซึ่งพรรคเพื่อไทยมี จำนวน สส.มากกว่าอยู่แล้ว แต่กลับยังส่งสัญญาณเรียกร้องให้พรรคประชาชนใช้กลไกอภิปรายไม่ไว้วางใจภายในสภา และย้ำว่า เป็นช่องทางที่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง และสามารถเปิดข้อมูล หลักฐานได้เต็มที่ ไม่ถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย
ล่าสุด ระดับรองเลขาธิการพรรค ทั้ง น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ และนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ประสานเสียงไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทั้งเปิดเหตุผลเพียบ
อาทิ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ปัดเป่าคดีพวกพ้อง บริหารจัดการน้ำล้มเหลว ไม่จริงจังแก้ปัญหาสแกมเมอร์ มุบมิบเซ็น MoU แร่หายาก และเสี่ยงทำไทยเสียดินแดน
สะท้อนท่าทีให้ความสำคัญต่อญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หรืออาจไม่มีทางเลือกอื่น หากต้องการต่อกรในสนามเลือกตั้ง สส. กับพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาชน นอกจากต้องดิสเครดิต และเปิดแผลข้อผิดพลาดบกพร่องในการบริหารบ้านเมือง
และต้องไม่โอนอ่อนตามคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ระบุในแถลงการณ์ด่วน 8 ข้อ ที่เสนอแนวทางแก้ปัญหาของประเทศ โดยจัดเวทีเสวนา หรือหารือพูดคุยกัน แทนการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เพราะผลในทางการเมืองต่างกันชัดเจน ฝ่ายรัฐบาลมีแต่ได้กับได้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องหาทางดึงพรรคประชาชนมาเป็นพันธมิตร หรืออย่างน้อยมีส่วนร่วมกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจให้ได้
หากพรรคประชาชนร่วมในการซักฟอก หรือร่วมลงมติในการโหวตเสียง ในฐานะฝ่ายค้าน เสียงไม่ไว้วางใจจะมากกว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยทันที
จึงพยายามกระทุ้งและอ้างถึงการออกมาเคลื่อนไหวของ สส.ตัวตึงพรรคประชาชน ทั้งนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายรังสิมันต์ โรม น.ส.รักชนก ศรีนอก ที่พุ่งเป้าไปที่รัฐมนตรีสายล่อฟ้า และตั้งข้อสังเกตเชื่อมโยงกับกลุ่มนักธุรกิจสีเทา และกลุ่มแก๊งสแกมเมอร์ ถึงขั้นให้ปลดออก
ยุทธวิธีนี้ ส่งผลถึงพรรคประชาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะกำลังถูกกดดันให้เข้าสู่ทาง 3 แพร่ง
หากไม่ขานรับ ไม่ร่วมลงชื่อหรือสนับสนุนญัตติซักฟอก จะเจอข้อกล่าวหาเป็นพรรคฝ่ายค้ำ และต้องตอบคำถามสังคม ถึงสถานภาพที่เป็นอยู่ขณะนี้ ว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล
รวมทั้ง การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลปลดรัฐมนตรีสายล่อฟ้า เป็นเพียงการแสดงละครฉากหนึ่งในฐานะฝ่ายค้านหรือไม่
จึงได้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป จาก น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ที่กล่าวยอมรับล่าสุดว่า ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ารัฐบาลทำผิดร้ายแรงจนต้องซักฟอก
กลายเป็นคนพรรคเดียวกัน แต่พูดไปคนละทาง เมื่อใกล้จะถึงจุดที่ต้องแสดงออกถึงจุดยืนว่า จะหนุนหรือไม่หนุนญัตติซักฟอก
แม้นายกฯ จะยืนยันเอ็มโอเอและจะยุบสภาภายใน 31 ม.ค.69 แต่เป็นเพียงในเชิงทฤษฎีเท่านั้น เพราะหากฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอก สุดท้ายรัฐบาลต้องจัดสรรเวลาให้ ก่อนยุบสภา
แต่พรรคประชาชนจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ถูกจับตามอง ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่กับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว :
สยบข่าวลือ! นายกฯ แถลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ-ยุบสภา ตามกรอบเวลา
ภท.-ปชน.-พท.สร้างดาวคนละดวง จับ "แก้ รธน." เป็นตัวประกัน
ป้อง "สายล่อฟ้า" สัมพันธ์ "อนุทิน-ธรรมนัส" เพาะมิตรไม่บ่มศัตรู