ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สู้รบเมียนมาซ้ำเติมโรฮิงญา ลี้ภัยทางเรือพุ่ง 5,000 คนเสี่ยงจบชีวิตในทะเล

ต่างประเทศ
20:10
65
สู้รบเมียนมาซ้ำเติมโรฮิงญา ลี้ภัยทางเรือพุ่ง 5,000 คนเสี่ยงจบชีวิตในทะเล
เรือลี้ภัยชาวโรฮิงญา 3 ลำอับปางใกล้เกาะลังกาวี เสียชีวิต 15 คน รอด 13 สูญหายกว่า 230 คน ทางการมาเลเซีย-ไทยเร่งค้นหา 7 วัน ท่ามกลางวิกฤตสู้รบเมียนมาที่ซ้ำเติม ชาวโรฮิงญาลี้ภัยทางทะเลพุ่ง 5,000 คนปีนี้ UNHCR ชี้เงินช่วยเหลือเหลือแค่ 37%

วันนี้ (10 พ.ย.2568) การสู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธและกองทัพเมียนมา ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ยิ่งซ้ำเติมชะตากรรมอันโหดร้ายของชาวโรฮิงญา ซึ่งทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก และต้องลี้ภัยไปอยู่ในหลายประเทศ แต่การเดินทางในแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความเสี่ยง

ทางการมาเลเซียเผยแพร่ภาพของผู้อพยพ 2 คน ที่เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือขึ้นมาได้ โดยเจ้าหน้าที่มาเลเซียจับมือกับทางการไทยเดินหน้าค้นหาผู้สูญหาย ทั้งทางทะเลและสำรวจทางอากาศ บริเวณใกล้กับเกาะลังกาวี หลังจากเรือพร้อมผู้อพยพประมาณ 70 คน อับปางกลางทะเล เมื่อวานนี้ (9 พ.ย.)
  
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 15 คน และมีผู้รอดชีวิตอีก 13 คน เกือบทั้งหมดเป็นชาวโรฮิงญา ขณะที่ตอนนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของผู้อพยพอีกกว่า 230 คน บนเรืออีก 2 ลำที่เหลือ ซึ่งคาดว่า จะใช้เวลาในการค้นหาผู้สูญหายประมาณ 7 วัน
  
ทางการท้องถิ่นมาเลเซีย ระบุว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น เชื่อว่า มีผู้อพยพประมาณ 300 คน โดยสารมากับเรือลำใหญ่ที่ออกเดินทางจากเมียนมาใกล้กับพรมแดนบังกลาเทศ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว และเปลี่ยนไปใช้เรือลำเล็ก 3 ลำ เพื่อป้องกันการตรวจค้น เมื่อเดินทางเข้าใกล้มาเลเซีย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ย. ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น

แม้ว่าการเดินทางทางทะเลจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ตัวเลขชาวโรฮิงญาที่ใช้วิธีนี้ในการลี้ภัยออกมาจากเมียนมาและบังกลาเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีขึ้น กลับเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี จากไม่ถึง 1,000 คนในปี 2564 เป็นมากกว่า 5,000 คนในปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่หมดปีก็ตาม

ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว มีชาวโรฮิงญาลี้ภัยทางทะเลสูงทำสถิติ ถึง 9,195 คน เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปีก่อนหน้า ซึ่งตัวเลขผู้ลี้ภัยที่เพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึง ตัวเลขผู้เสียชีวิตและสูญหายกลางทะเล ที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขดังกล่าวดีดตัวขึ้นไปใกล้แตะ 600 คนแล้ว แต่อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ชาวโรฮิงญายอมเสี่ยงชีวิต ? 

หลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการโจมตีทางอากาศ เมื่อเดือนสิงหาคม และความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณโดยรอบ น่าจะพอสะท้อนภาพสถานการณ์การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธในหลายพื้นที่ของรัฐยะไข่ได้เป็นอย่างดี โดยนับตั้งแต่กองทัพอาระกัน หรือ AA เปิดปฏิบัติการโจมตีกองทัพเมียนมาในรัฐยะไข่อย่างดุเดือด ตั้งแต่เดือน พ.ย.2566 ก็ทำให้ชีวิตชาวโรฮิงญาเลวร้ายลงยิ่งไปกว่าเดิม

ทั้งตกเป็นเป้าการโจมตีจากทั้ง 2 กลุ่ม รวมทั้งยังถูกลูกหลงจากการสู้รบ และในขณะเดียวกัน การจำกัดการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของกองทัพเมียนมา ยิ่งซ้ำเติมวิกฤตที่ชาวโรฮิงญากำลังเผชิญ นอกเหนือจากการถูกบังคับเกณฑ์ไปรบด้วย  

สถานการณ์เช่นนี้บีบรัด จนทำให้ชาวโรฮิงญาต้องยอมเลือก แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขผู้อพยพชาวโรฮิงญาในปี 2567 ที่พุ่งสูงทำสถิติ โดยเรือผู้อพยพที่ออกเดินทางจากชายฝั่งเมียนมาในปีนั้น มีมากถึง 149 ลำ จากทั้งหมด 157 ลำ หรือคิดเป็นร้อยละ 95 ของการอพยพทางเรือทั้งปี 2567 ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มีเรือที่ออกเดินทางจากเมียนมา 126 ลำ จากทั้งหมด 134 ลำ

การทำรัฐประหารของกองทัพเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตผู้อพยพระลอกใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่ชาวโรฮิงญาเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ โดยข้อมูลจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ชี้ว่า นับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร มีผู้ลี้ภัยออกจากเมียนมาแล้วมากกว่า 270,000 คน

ส่วนใหญ่เป็นการลี้ภัยเข้าไปในประเทศที่มีพรมแดนติดกับเมียนมา ซึ่งบังกลาเทศรับผู้อพยพมากที่สุดกว่า 130,000 คน ส่วนมากเป็นชาวโรฮิงญา ตามมาด้วยอินเดียมากกว่า 60,000 คน และไทยอีก 56,000 คน แต่บางส่วนหนีไปไกลถึงศรีลังกา

การสู้รบและความขัดแย้งทางการเมือง นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2564 เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมาย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ โดยมีชาวโรฮิงญาพลัดถิ่นในประเทศมากกว่า 550,000 คน ขณะที่อีกมากกว่า 1,000,000 คน ลี้ภัยอยู่ในค่ายผู้อพยพที่คอกซ์ บาซาร์ ของบังกลาเทศ ซึ่งผู้ลี้ภัยเหล่านี้ต้องพึ่งพิงเงินช่วยเหลือจากนานาชาติ

แต่จากข้อมูลของ UNHCR พบว่า ปัจจุบัน มีการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเมียนมาเพียง 141 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 37 ของงบประมาณที่มีการร้องขอไปก่อนหน้านี้

เงินถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไร้ทางออก หลังจากประเทศผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของโลก อย่างสหรัฐฯ ดูจะไม่ได้สนใจปัญหานี้มากนัก ขณะที่นโยบาย America First ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังทำให้เงินช่วยเหลือต่างชาติถูกตัดลดอย่างไม่ใยดี ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ลี้ภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเดือนที่แล้ว องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ออกมาเตือนว่า สถานการณ์ในค่ายผู้ลี้ภัยปีหน้า จะยิ่งเลวร้ายลงกว่านี้ จากการขาดแคลนงบประมาณสนับสนุน โดยเฉพาะการบริการในภาคการศึกษาและสาธารณสุข ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยตัดสินใจเสี่ยงชีวิต เพื่อแสวงหาอนาคตที่อาจดีขึ้นกว่าเดิม

ถ้าเลือกได้ คงจะไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตกลางทะเล แต่ตราบใดที่การสู้รบในเมียนมายังคงไม่สงบ และชาวโรฮิงญายังคงถูกกดขี่ วิกฤตนี้ก็คงจะไม่มีวันหมดไปเช่นกัน

อ่านข่าวอื่น:

เรือผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาล่ม พบร่างผู้เสียชีวิตกลางทะเลสตูล 4 คน

สั่ง "ปิด" จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ห้ามเข้า-ออกทุกกรณี

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

-