ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

2 ผู้บริหารใหญ่ BBC ลาออก "ทรัมป์" ขู่ฟ้อง 1,000 ล้าน เซ่นปมตัดต่อคำพูดบิดเบือน

ต่างประเทศ
14:33
197
2 ผู้บริหารใหญ่ BBC ลาออก "ทรัมป์" ขู่ฟ้อง 1,000 ล้าน เซ่นปมตัดต่อคำพูดบิดเบือน
อ่านให้ฟัง
06:21อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งจดหมายขู่ฟ้อง BBC เรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านดอลลาร์ หลังพบการตัดต่อสารคดีหลอกลวงเกี่ยวกับสุนทรพจน์ 6 ม.ค.64 ขณะที่ 2 ผู้บริหารระดับสูงของ BBC ลาออกแสดงความรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 CNN รายงาน สถานีโทรทัศน์สาธารณะชื่อดังของอังกฤษอย่าง BBC กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายขู่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36,000 ล้านบาท จากกรณีสารคดีที่ออกอากาศในปี พ.ศ.2567 ซึ่งมีการ "ตัดต่อคำพูด" จากสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2564 ทำให้ดูเหมือนทรัมป์เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนใช้ความรุนแรงบุกอาคารรัฐสภา

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อทีมผู้ผลิตรายการ BBC Panorama นำคลิปเสียงและภาพจากสุนทรพจน์ของทรัมป์ในวันชุมนุมที่เอลลิปส์ มาตัดต่อโดยนำ 2 ช่วงเวลาที่ห่างกันกว่าครึ่งชั่วโมงมารวมกัน จนเกิดความเข้าใจผิดว่าเขาพูดคำว่า "ต่อสู้อย่างสุดชีวิต" (Fight like hell) ทันทีหลังจากกล่าวเชิญชวนให้เดินไปยังอาคารกองทุนสภาคองเกรส (Capitol) ทั้งที่ในสุนทรพจน์จริง คำว่า "ต่อสู้" ถูกกล่าวในบริบทของการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อปกป้องประเทศ ไม่ได้เชื่อมโยงกับการใช้ความรุนแรงโดยตรง

ข้อผิดพลาดนี้ถูกเปิดโปงในช่วงต้นเดือน พ.ย.2568 เมื่อรายงานภายในของ ไมเคิล เพรสคอตต์ อดีตที่ปรึกษาด้านบรรณาธิการของ BBC รั่วไหลไปถึงสื่อ The Telegraph รายงานดังกล่าวระบุว่า การตัดต่อดังกล่าว "บิดเบือนสาระสำคัญของคำพูดและทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กร" ข่าวนี้ขยายวงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การร้องเรียนหลายร้อยกรณี และกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับประเทศ

หลังจากกระแสข่าวรุนแรงขึ้น ผู้อำนวยการใหญ่ของ BBC ทิม เดวิ และ หัวหน้าฝ่ายข่าว เดโบราห์ เทอร์เนสส์ ประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ พร้อมคำขอโทษจากประธาน BBC ซาเมียร์ ชาห์ ที่ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในการตัดสินใจ และยอมรับว่าการตัดต่อดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามีการเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงโดยตรง

ขณะเดียวกัน ทีมทนายของทรัมป์ได้ส่งจดหมายขู่ฟ้องไปยังสำนักงานใหญ่ BBC ในลอนดอน โดยระบุว่าการเผยแพร่สารคดีดังกล่าวสร้างความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงอย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้ BBC ออกแถลงการณ์แก้ไขและชดเชยภายในกำหนดเวลา 14 พ.ย.2568 หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีการฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทในศาลสหรัฐฯ

โฆษกของ BBC ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่ารับทราบจดหมายดังกล่าวแล้ว และจะตอบกลับโดยตรงในเวลาที่เหมาะสม แม้ BBC ยังไม่เปิดเผยแนวทางทางกฎหมาย แต่ภายในองค์กรเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก เพราะไม่เพียงแต่ต้องเผชิญการโจมตีจากทรัมป์ หากยังถูกฝ่ายการเมืองในอังกฤษ โดยเฉพาะพรรคอนุรักษนิยม ใช้เป็นเครื่องมือโจมตีต่อเนื่อง

ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษนิยม เขียนในโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่าถึงเวลาที่โลกจะได้เห็น BBC ในมุมที่แท้จริง การบิดเบือนและอคติในการรายงานทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนมานาน เสียงวิจารณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้ BBC ต้องตกอยู่ในจุดที่เปราะบางอย่างที่สุด

ขณะที่อังกฤษกำลังอยู่ในช่วงตรวจสอบโครงสร้างค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ BBC และ พ.ร.บ.หลวงที่คุ้มครององค์กรกำลังจะหมดอายุในสิ้นปี พ.ศ.2570 ฝ่ายอนุรักษนิยมหลายคนใช้เหตุการณ์นี้เรียกร้องให้ ยุติการออกอากาศที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ ขณะที่นักข่าวและบุคลากร BBC จำนวนมากออกมาปกป้ององค์กร โดยยืนยันว่านี่เป็น "ข้อผิดพลาดทางงานข่าว" ไม่ใช่ความตั้งใจทางการเมือง

จอห์น ซิมป์สัน นักข่าวอาวุโสของ BBC เขียนบนแพลตฟอร์ม X ว่า "ตอนนี้เรากำลังต่อสู้จริงจังเพื่อปกป้องการสื่อสารสาธารณะ เพราะสิ่งนั้นกำลังถูกคุกคามอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ส่วนเจมส์ แลนเดล ผู้สื่อข่าวการทูตของ BBC โพสต์ข้อความว่า "เราไม่สมบูรณ์แบบ แต่เรายังเป็นแสงสว่างในโลกที่มืดมิด"

ผู้เชี่ยวชาญสื่อหลายคนมองว่าปัญหานี้สะท้อนรอยร้าวที่ลึกกว่าข้อผิดพลาดในการตัดต่อ เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามความเชื่อมั่นต่อสื่อสาธารณะในยุคที่ความจริงถูกตีความตามมุมมองการเมือง ไม่เพียงแต่ BBC ต้องพิสูจน์ความถูกต้อง แต่ยังต้องต่อสู้เพื่อคงอยู่ในสังคมที่ความไว้วางใจต่อสื่อกำลังสั่นคลอน

โรเบิร์ต ชริมสลีย์ บรรณาธิการการเมืองของ The Financial Times เขียนว่า BBC ทำผิดจริงและต้องรับผิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการรณรงค์ทางการเมืองจากฝ่ายขวาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรนี้ ข้อสังเกตนี้สะท้อนเสียงจากหลายฝ่ายที่เห็นตรงกันว่า เหตุการณ์สารคดีทรัมป์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคลิปตัดต่อ แต่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญของสื่อสาธารณะในยุคที่คำว่า "ความจริง" ถูกแย่งชิงโดยทุกฝ่าย

อ่านข่าวอื่น :

เตือนชาวนาระวัง “แมลงบั่ว” ศัตรูร้ายทำลายข้าวมาพร้อมกับอากาศหนาว

"โสภณ" เตรียมถก ครม.-กนช.หารือบริหารจัดการน้ำ หวั่นกระทบ กทม.