หลายคนคงสงสัย ทำไม? เงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่กลับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้น้อยลง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะมูลค่าของเงินลดลงด้วย เดิมเคยซื้อกาแฟราคาแก้วละ 50 บาท แต่ปัจจุบันต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 10 บาท เพื่อซื้อกาแฟ 1 แก้ว หรือ ข้าวกระเพรา ไข่เจียว 1 จาน ราคาเดิม 35-40 บาท แต่วันนี้ต้องควักเงินจ่ายเพิ่มเป็น 45-50 บาท ขณะที่ปริมาณเท่าเดิม พูดง่าย ๆ คือ ทุกวันนี้เงินมีมูลค่าเท่าเดิม แต่กลับซื้อของได้น้อยลง
ปัญหาหลักที่ทำให้เกิดภาวะ “เงินเฟ้อ”หรือ Inflation เรียกว่า ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในเศรษฐกิจ “เพิ่มสูงขึ้น” อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ คนต้องการซื้อของ มากกว่าของที่มี เช่น มีรายได้เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจฟื้น รัฐบาลอุดหนุนเงิน ทำให้ผู้ขายขึ้นราคา ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าแรง วัตถุดิบ ยิ่งดันสินค้าและบริการปรับตัวสูงตาม รวมถึงรัฐหรือธนาคารกลางพิมพ์ธนบัตรเข้าสู่ระบบมากเกินไป มีเงินในระบบมาก แต่ของเท่าเดิม ของแพงขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคซื้อของแพงขึ้นสวนทางรายได้ที่ลดลงหรือเท่าเดิม ยังไม่รวมถึงปัจจัยภายนอกประเทศที่ฉุดให้เงินเฟ้อไทยติดลบ
เมื่อมีเงินเฟ้อ มีคำถามต่อว่าแล้ว “เงินฝืด” หรือ Deflation มีโอกาสจะเกิดขึ้นหรือไม่ จากตัวเลขของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยยังคงลงต่อเนื่อง 7 เดือนติดต่อกัน ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดเงินฝืดอาจจะมีความเป็นไปได้แต่น้อยมาก
“เงินฝืด” คือ ภาวะที่ ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป “ลดลงต่อเนื่อง” หรือพูดง่าย ๆ คือ “ของถูกลง แต่คนไม่อยากซื้อ” เช่น ข้าวแกงปีก่อน ราคา 50 บาท แต่ปีนี้ข้าวแกง จานละ 45 บาท แต่คนไม่มีความต้องการจะซื้อ เพราะไม่มีเงิน หรือมีเงินแต่ไม่อยากใช้จ่าย ต้องการเก็บเงินสดไว้
แล้วสาเหตุของเงินฝืด เกิดจากอะไร? คนตกงาน รายได้ลด ความมั่นใจในเศรษฐกิจลดลงส่งผลให้การใช้จ่ายลดลง สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยกู้ /คนไม่อยากกู้ทำให้เงินที่จะไหลเวียนในระบบน้อยลง รวมถึงผู้ผลิตผลิตสินค้าออกมาล้นตลาด แต่คนซื้อน้อย สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ลดราคาสินค้า สิ่งเหล่านี้ คือ เงาสะท้อนของรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายและชีวิตที่ต้องประหยัดมากขึ้นทุกวัน
กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ไว้ว่า ท่ามกลางความไม่มั่นคงในชีวิตประจำวันและความคาดหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นในวันข้างหน้า คำถามหนึ่งที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมไทย คือ เศรษฐกิจไทยแตะจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง? คำถามนี้ไม่เพียงสะท้อนความรู้สึกของผู้บริโภคเท่านั้น หากยังสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่กำลังอยู่ในภาวะการขยายตัวต่ำ (Persistent Low Growth) ควบคู่กับอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับต่ำ ภาวะที่ในเชิงสถิติอาจดูเป็นข่าวดีด้านเสถียรภาพราคา แต่ในเชิงเศรษฐกิจมหภาคกลับเป็นสัญญาณเตือนถึงแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) วิเคราะห์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงลงต่อเนื่อง 7 เดือนติดต่อกัน ซึ่งปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงยังคงมาจาก ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกลุ่มประเทศโอเปกพลัสปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านโครงการ Quick Big Win ส่งผลให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (OFFO) ปรับลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนฯ และทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงมาอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร ภาครัฐดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่า Ft งวดเดือนก.ย. – ธ.ค. 2568 มาอยู่ที่ 15.72 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่ากระแสไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.94 บาทต่อหน่วย
เช่นเดียวกับราคาผักสดและผลไม้สดต่ำกว่าปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก รวมทั้งฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูงและผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับลดราคาห้องพัก เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ ( วันที่ 21 ต.ค. 2568) โดยเฉพาะมาตรการหักลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวภายในประเทศสูงสุด 20,000 บาท
คาดตลอดปี "เงินเฟ้อไทย" หลุดเป้าติดลบ
สำหรับปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น คือ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมีแนวโน้มทำให้ค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวสูงขึ้น และ ราคาสินค้าเกษตรและเครื่องประกอบอาหารบางชนิดมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น กะทิสำเร็จรูป กาแฟสำเร็จรูป เกลือป่น และน้ำมันพืช เป็นต้น ด้วยปัจจัยดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 0.0
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.01% และในเดือนกันยายน 2568 ลดลง 0.72% ส่งผลให้ติดลบต่อเนื่องถึง 6 เดือนสะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาที่ลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากฝั่งอุปทาน (Specific Supply-side Factors)ซึ่งสาเหตุจากหมวดสินค้าสำคัญที่มีน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อสูง เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีน้ำหนักในตะกร้าประมาณ7.6% ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำหนักประมาณ 4% และผักและผลไม้ น้ำหนักประมาณ 4.8%
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้เงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องมีไม่กี่ประเด็นหลักๆไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่กลุ่มประเทศ OPEC+ เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันนำเข้าของไทยลดลงในเชิงมูลค่าซึ่งส่งผลให้เกิดแรงกดจากเงินเฟ้อนำเข้า (imported inflation)ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและส่งผ่านผลโดยตรงต่อดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)ผ่านต้นทุนที่ต่ำลง เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีน้ำหนักราว 7.6% ของตะกร้าเงินเฟ้อ
เช่นเดียวกับราคาสินค้าเกษตรลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น หมวดผักและผลไม้ ซึ่งมีน้ำหนักรวมประมาณ 4.8% ของตะกร้า CPI ที่เป็นหมวดที่อ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศและฤดูกาลผลิต ปี 2568 ถือเป็นปัจจัยด้านอุปทานเอื้ออำนวยต่อผลผลิตอย่างชัดเจน ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาผักและผลไม้สดหลายชนิดปรับลดลงและช่วยชะลอแรงกดดันด้านราคาในหมวดอาหารสดโดยรวม
"มาตรการรัฐ-ราคาสินค้าลด-ค่าไฟ" ฉุดเศรษฐกิจติดลบ
และประเด็นที่กดให้เงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่องอีกปัจจัย คือ มาตรการภาครัฐลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมีปัญหาเชิงโครงสร้าง รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาภาระประชาชนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้าผ่านกลไก ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ” (Fuel Adjustment Charge : Ft) ซึ่งส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ผ่านสองช่องทางสำคัญ ได้แก่ ผลโดยตรง เนื่องจากค่าไฟฟ้ามีน้ำหนักประมาณ 4% ของตะกร้าเงินเฟ้อ การลดค่าไฟฟ้าจึงลดแรงกดดันเงินเฟ้อในหมวดพลังงานโดยตรงและผลทางอ้อม การลดต้นทุนพลังงานช่วยลดต้นทุนการผลิตของภาคเอกชน ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่น ๆ ชะลอตัวตามไปด้วย
“ทั้งสามปัจจัยจะเห็นได้ว่าการชะลอตัวของเงินเฟ้อไทยในระยะหลังไม่ได้สะท้อนการหดตัวของอุปสงค์อย่างแท้จริง แต่เกิดจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ลดลงจากปัจจัยภายนอก และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ดังนั้นภาวะปัจจุบันเป็นเพียง “ช่วงเวลาของเงินเฟ้อระดับต่ำต่อเนื่อง (Sustained Low Inflation)” มากกว่าการเข้าสู่ “ภาวะเงินฝืด (Deflation)”ในเชิงอุปสงค์
นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการไหลเข้าของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่ได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าลดลง สินค้านำเข้ามีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะหมวดของใช้ส่วนบุคคลและเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดภายในประเทศรุนแรงขึ้นจนผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ เป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยกดระดับราคาสินค้าให้อยู่ในระดับต่ำ
สนค.วิเคราะห์ ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะ "เงินฝืด"
ข้อมูลของสนค.วิเคราะห์อีกว่า แม้ในภาพรวมประเทศไทยจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างแท้จริง แต่หากพิจารณาในระดับภูมิภาค จะพบสัญญาณที่น่ากังวล โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องถึง 6 เดือน สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคจากธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนส.ค. ที่ชี้ว่า
การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องกว่า 6 เดือน การบริโภคภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง 5 เดือน และดัชนีรายได้เกษตรกรติดลบต่อเนื่อง 3 เดือน จากราคาข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ลดลงจากปีที่แล้ว
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งชายแดน ซึ่งทั้งหมดสะท้อนภาพ การลดลงพร้อมกันของราคา รายได้ และการใช้จ่าย ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการหดตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เพื่อลดผลกระทบและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดในภูมิภาค รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเฉพาะพื้นที่ เช่น การให้เงินเยียวยาผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ชายแดนใน 7 จังหวัด ผ่านงบช่วยเหลือครัวเรือนละ 2,000 – 5,000 บาท
รวมถึงโครงการ Quick Big Win เช่น มหกรรมธงฟ้าชายแดนและเมืองเศรษฐกิจ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ เชื่อมโยงตลาดออนไลน์ – ออฟไลน์ และเตรียมจัดงานการค้าชายแดนปี 2569 เพื่อขยายโอกาสทางการค้าในภูมิภาคท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อต่ำและเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
"คนละครึ่งพลัส" กระตุ้นบริโภค ทางเลี่ยงภาวะเงินฝืด
ทั้งนี้ภาครัฐเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในไตรมาสแรกของปี 2569 โดยใช้ทั้งมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ว่าจะเป็น “คนละครึ่งพลัส” ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโดยไม่สร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ ถือเป็น มาตรการการคลังที่ไม่เร่งเงินเฟ้อและเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทยในช่วงอุปสงค์อ่อนแรง
ส่วนมาตรการแก้หนี้ประชาชน ภายใต้“กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน” วงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ใช้กลไก “รวมศูนย์หนี้ ปรับโครงสร้าง ลดต้น ลดดอก” เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ภาคครัวเรือน และ มาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ในการควบคุมราคาสินค้าและบริการจำเป็น 57 รายการให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง มาตรการธงฟ้า จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัด และมาตรการธงเขียว ซึ่งเน้นลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร พร้อมบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานในสินค้าสำคัญ และพยุงราคาสินค้าเกษตรผ่านการส่งออก เพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้เกษตรกร
เงินเฟ้อต่ำ "สัญญาณเตือน" รัฐนำประเทศหนีเงินติดลบ
ภาพรวมทั้งหมดชี้ชัดว่า “เงินเฟ้อต่ำ...แต่ไม่ใช่เงินฝืด” โดยแรงหลักมาจากฝั่งต้นทุนและนโยบายพลังงานมากกว่าการหดตัวของอุปสงค์ฝ่ายเดียว ราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง ประกอบกับการแข่งขันทางการค้าที่ยังรุนแรง ทำให้ระดับราคาทั่วไปทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างไม่ทั่วถึง และยังถูกกดทับด้วยโครงสร้างสังคมผู้สูงอายุและหนี้ครัวเรือนในระดับสูงถึงร้อยละ 87.4 ของ GDP อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ที่ตัดหมวดอาหารสดและพลังงานยังคงเป็นบวก สะท้อนว่าราคาสินค้าและบริการในภาพรวมยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดในเชิงระบบ ทั้งนี้ โครงการ
“คนละครึ่งพลัส” ทำหน้าที่เป็นมาตรการการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจโดย ไม่เร่งเงินเฟ้อช่วยพยุงการบริโภคและความเชื่อมั่นได้อย่างเหมาะสมท้ายที่สุด ภาวะเงินเฟ้อต่ำควรถูกใช้เป็น “โอกาสเชิงนโยบาย” เพื่อขับเคลื่อนมาตรการด้านอุปทาน ทั้งการผลักดันโครงการสินค้าราคาย่อมเยา กลไกราคาที่เป็นธรรม และการดูแลบริการอ่อนไหวควบคู่กับวินัยทางการคลัง รวมถึงการสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านพลังงาน เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “เสถียรภาพด้านราคา” และ“การเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว” ของประเทศไทย
กรุงศรีฯ คาดปลายปีแบงก์ชาติ "ลดดอกเบี้ย"ส่งท้าย
ด้านธนาคารกรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์ว่า เงินเฟ้อทั่วไปเดือนต.ค.ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือนเม.ย. เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ค่ากระแสไฟฟ้า และอาหารสดบางชนิด ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.61% ชะลอลงเล็กน้อยจาก 0.65% ในเดือนก.ย. สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ -0.09% และ 0.87% ตามลำดับ
โดยเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในแดนลบ จากปัจจัย ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ( มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านราคาพลังงาน โดยการปรับลดราคาค่ากระแสไฟฟ้า (Ft) สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในปีนี้หนุนให้ผลผลิตภาคเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น และอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอแม้ได้ปัจจัยบวกชั่วคราวจากมาตการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งนี้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจกลับมาติดลบอีกครั้งในรอบ 5 ปี ที่ -0.1%
สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย ศูนย์วิจัยกรุงศรี ฯคาดว่ามีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.25% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ ในวันที่ 17 ธ.ค.2568 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและบรรเทาภาระทางการเงินของภาคเอกชน ปัจจัยหนุนหลักจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ, อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และอาจต่ำกว่าที่ธปท.คาดที่ 0% ในปี 2568 และ 0.5% ในปี 2569 ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่เงินเฟ้อจะกลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ภาวะการเงินที่ตึงตัวสะท้อนจากการหดตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง
"ไทย" เบอร์ 1 เงินเฟ้อต่ำสุดในอาเซียน
ทั้งนี้ หากเทียบอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยกับต่างประเทศ พบว่า เงินเฟ้อทั่วไปของไทยในเดือนก.ย. ลดลง 0.72% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 6 จาก 140 เขตเศรษฐกิจและต่ำเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน จาก 10ประเทศที่ประกาศตัวเลข นั้นหมายความว่า เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในทิศทางที่ดีถ้าเทียบกับประเทศอาเซียนด้วยกัน
โดย ลาว มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง +4.5% อันดับหนึ่งของอาเซียน รองลงมาเป็น เวียดนามที่มีอัตราเงินเฟ้อที่ +3.38% อันดับ 3 อินโดนีเซีย อันตราเงินเฟ้อที่ +2.65% กัมพูชา อัตราเงินเฟ้อที่ +2.06% ฟิลิปปินส์ อัตราเงินเฟ้อที่ +1.7% มาเลเซีย อัตราเงินเฟ้อที่ +1.5% ติมอร์-เลสเต อัตราเงินเฟ้อที่ +0.9% สิงคโปร์อัตราเงินเฟ้อที่ +0.7% และ บูไน อัตราเงินเฟ้อที่ +0.03% ขณะที่ไทยมีอัตราเงินเฟ้อที่ - 0.72%
อ่านข่าว:
ชะตากรรม "ข้าวไทย" เผชิญคู่แข่งรอบด้าน ชาวนาจะรอดอย่างไร
เด็กไทยเกิดน้อย-สูงวัย “ล้นเมือง” ต่ออายุเกษียณ ทางออกหรือวิกฤต
"ทองคำ" พักรบ Vs ปรับฐาน ลุ้น 5 พ.ย.ศาลฎีกาชี้ชะตา"ภาษีทรัมป์"











