ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ทองคำ" พักรบ Vs ปรับฐาน ลุ้น 5 พ.ย.ศาลฎีกาชี้ชะตา"ภาษีทรัมป์"

เศรษฐกิจ
12:45
215
"ทองคำ" พักรบ Vs ปรับฐาน  ลุ้น 5 พ.ย.ศาลฎีกาชี้ชะตา"ภาษีทรัมป์"
อ่านให้ฟัง
15:04อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ราคาทองคำ ยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากทำ "All-time High"ต่อเนื่องหลายสัปดาห์เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต่างชื่นมื่นตาม ๆ กัน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  กระทั่งเริ่มปรับตัวลงถึง -109.07ดอลลาร์ ห้วงสัปดาห์ที่ 2 หลังจากทำสกอร์ All-time High ที่ 4,381 ดอลลาร์

เนื่องจากตลาดทองได้รับรู้ปัจจัยลบจากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ และการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 29-30 ก.ย. ทำให้ราคาทองคำเริ่มมีการปรับฐานลงหลังจากเกิดปัจจัยดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง

เว็บไซต์ “ฮั่วเซ่งเฮง” วิเคราะห์ว่า ปัจจัยที่จะส่งผลให้ตลาดทองกลับมาคึกคักอีกครั้ง คือ สหรัฐฯ–จีน บรรลุข้อตกลง เปลี่ยนชะตาการค้าโลก เพราะก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ต.ค.นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ได้กล่าวต่อหน้าผู้สื่อข่าวว่า แร่ธาตุหายาก ถั่วเหลือง และเฟนทานิล เป็นประเด็นสำคัญของสหรัฐฯ

และในวันที่ 30 ต.ต. การเจรจาการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น แร่หายาก (Rare Earths)ที่คาดว่าจีนจะระงับระบบการอนุญาตสำหรับแร่ธาตุหายากเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ส่วนประเด็นถั่วเหลือง จีนได้ตกลงกลับมาซื้อถั่วเหลืองอีกครั้งอย่างเป็นทางการ รวมถึงสารเฟนทานิล ที่ทรัมป์จะลดภาษี 20% เหลือ 10% และยกเลิกแผนการเก็บภาษีนำเข้า 100% ที่ขู่ไว้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. รวมถึงลดภาษีนำเข้าจากจีนลงสู่ระดับ 47% จาก 57%

ศึกชิงความเป็นใหญ่ หรือ “พักรบชั่วคราว”

อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ ยังไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในเชิงโครงสร้างอย่างที่ทรัมป์เคยให้สัญญาว่า จะแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ และผลของการประชุมครั้งนี้เป็นเพียงการหยุดพักรบชั่วคราวในศึกชิงความเป็นใหญ่ที่อาจยืดเยื้อไปอีกหลายปี เนื่องจากทรัมป์ใช้โอกาสเยือนเอเชียครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ พร้อมกับดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเรือและแร่หายากเพื่อให้สหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเจรจากับสี จิ้น ผิงในปีหน้า

สหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” เพื่อใช้เป็นอาวุธในการต่อรองกับจีน ในขณะที่จีนพยายามตัดห่วงโซ่อุปทานจากสหรัฐฯ เพื่อให้ตนยังสามารถคงอยู่ได้ ตามยุทธศาสตร์ชาติจีน ซึ่งทองคำจะยังคงได้รับปัจจัยบวกนี้ จากภูมิรัฐศาสตร์ที่ทยอยร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับ “การต้มกบ” นั่นเอง

จับตาศาลฎีกา ฯ นัดชี้ชะตาภาษีทรัมป์ 5 พ.ย. 

อีกปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้กำหนดวันนัดฟังการแถลงด้วยวาจา (oral arguments) ในวันที่ 5 พ.ย. นี้ เกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรทั่วโลกของ ทรัมป์ หลังจากเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศาลฎีกาได้รับพิจารณาคดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ตัดสินเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่าภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของทรัมป์ได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการกำหนดภาษีส่วนใหญ่ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือ IEEPA

ทั้งนี้ อัตราภาษีศุลกากรยังคงมีผลบังคับใช้ในระหว่างการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา และคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ได้ครอบคลุมภาษีอื่นๆ ที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ที่ทรัมป์อ้างว่าเป็นภัยต่อ “ความมั่นคงแห่งชาติ” และไม่รวมถึงภาษีจีนในสมัยแรกของทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังคงไว้ เพราะสืบสวนพบว่าจีนใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรมเพื่อสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีในประเทศตนเอง

จากปัจจัยข้างต้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ตลาดต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการพบปะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกลางที่เป็นตัวแทนของปธน.ทรัมป์ และ ฝ่ายที่โต้แย้งเรื่องภาษี นำโดยทนายฝ่ายผู้นำเข้าสินค้าและรัฐบาลของรัฐถ้องถิ่นต่างๆ ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อมูลที่ไม่หนักแน่นพอ อาจมีผลต่อรูปคดีและคำตัดสินที่มีผลกระทบต่อราคาทองได้ในภายหลัง

ชัตดาวน์ส่อยืดเยื้อ ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5

นอกจากนี้ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยังวิเคราะห์สถานการณ์ชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ซึ่ง กำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 ซึ่งกลายเป็นการหยุดทำงานที่ยาวนานอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ และกำลังจะขึ้นแซงหน้าภาวะชัตดาวน์ในช่วงวันที่ 22 ธ.ค. 2018 – 25 ม.ค.2019 (35 วัน) เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง พรรครีพับลิกัน และ พรรคเดโมแครต ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการขยายเวลาการอุดหนุนประกันสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคน ยังไม่สามารถดังร่างงบประมาณให้ผ่านไปได้

โดยการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 34 หรือ 1 เดือนกับอีก 4วัน ส่งผลให้การปิดหน่วยงานรัฐได้เริ่มส่งผลกระทบที่ขยายตัวมากขึ้น โดยทางรัฐบาลกลางได้ออกมาเตือนว่า โครงการสวัสดิการอาหาร (SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร จะยุติลงในวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันราว 42 ล้านคน

อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงทรุดตัวและการเกิดความไม่พอใจในฝูงชนของชาวอเมริกันได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ (CBO) เปิดเผยว่า การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Government Shutdown) ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้วอย่างน้อย 18,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ CBO ยังได้คาดการณ์ว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ต่ออีก 6 และ 8 สัปดาห์ GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ปีนี้ อาจสร้างความเสียหายเพิ่มเติมถึง 28,000 ล้านดอลลาร์ และ 39,000 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ

เฟด ยังไม่ส่งสัญญาณผ่อนคลายชัดเจน

สำหรับการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 29-30 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการเฟด(FOMC) มีมติ 10-2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% และได้ประกาศยุติการใช้นโยบายคุมเข้มเชิงปริมาณ (QT) ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้แสดงถึงความไม่แน่นอนในการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค. อีก

โดยประธานเฟด กล่าวถึง ความยากลำบากที่เพิ่มขึ้นในการกำหนดนโยบายโดยไม่ต้องใช้ข้อมูลของรัฐบาลกลางอันเนื่องมาจากภาวะชัตดาวน์ ซึ่งส่งผลให้ตลาด CME FedWatch ที่ได้คาดการณ์ว่า เฟดอาจตรึงดอกเบี้ยที่ 3.75% – 4.00% ในเดือน ธ.ค. จาก 9.1% เป็น 67.8%

ตลาดทองคำได้เริ่มรับรู้ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดได้เริ่มเข้าสู่โหมดระมัดระวังและทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม นักยุทธศาสตร์จากธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JP Morgan ได้ออกมาคาดการณ์ว่า เฟดอาจดำเนินการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย (QE) อีกครั้งในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งอาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อขยายตัวขึ้นได้ในภายหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดยังคงต้องจับตาดูต่อไป

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคได้มีการฟื้นตัวขึ้นทะลุกรอบ Falling Wedge และในระยะสั้นได้ยังคงทรงตัวในกรอบ Flag Pattern ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ เริ่มฟื้นตัวและรอเลือกทางหลังจากตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบด้านเฟดและการเจรจาระหว่างจีน – สหรัฐฯ ไปพอสมควรแล้ว

“หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ภาษีศุลกากรของทรัมป์ไม่มีความผิด และภาวะชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,140 และ 4,190 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ แต่ในทางกลับกัน หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ภาษีทรัมป์มีความผิด และภาวะชัตดาวน์สิ้นสุดลง อาจทำให้ทองคำปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 3,890 และ 3,815 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับฐานลงอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน”

สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 59,900 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 59,500 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 62,100 บาท และ 62,500 บาท

เปิด 5 ประเทศ แหล่งนำเข้าทองคำของไทย

  • สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่านำเข้า 115,734.38 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -27.83% สัดส่วนการนำเข้า 25.01%
  • ฮ่องกง มูลค่านำเข้า 97,778.21 ล้านบาท ลดลง -19.10% สัดส่วนการนำเข้า 21.13%
  • จีน มูลค่านำเข้า 90,827.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 670.75% สัดส่วนการนำเข้า 19.63%
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มูลค่านำเข้า 80,474.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 763.04% สัดส่วนการนำเข้า 17.39%
  • สิงคโปร์ มูลค่านำเข้า 24,243.21 ล้านบาท ลดลง -1.24% สัดส่วนการนำเข้า 5.24%

ส่วนตลาดส่งออกทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่

  • สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าส่งออก 187,453.14 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน +201% โดยตลาดสวิตเซอร์แลนด์คิดเป็นสัดส่วนการส่งออก 51.42%
  • กัมพูชา มูลค่าส่งออก 80,071.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% สัดส่วนส่งออก 21.96%
  • สิงคโปร์ มูลค่าส่งออก 48,448.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.06% สัดส่วนส่งออก 13.29%
  • สปป.ลาว มูลค่าส่งออก 12,747.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171.19% สัดส่วนส่งออก 3.50%
  • ฮ่องกง มูลค่าส่งออก 10,603.92 ล้านบาท ลดลง -23.99% สัดส่วนส่งออก 2.91%

ขณะที่การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย 9 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่ารวม 719,347.70 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 62.42% ตลาดส่งออก 5 อันดับแรกได้แก่

  • สหรัฐอเมริกา มูลค่าส่งออก 59,690.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • สิงคโปร์ มูลค่าส่งออก 55,888.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.56%
  • เยอรมนี มูลค่า 15,134.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.51%
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มูลค่า 14,004.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.48%
  • สปป.ลาว มูลค่า 13,147.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 176.46%

คงต้องลุ้นว่าวันที่ 5 พ.ย. นี้ ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้ภาษีทรัมป์ไม่มีความผิดหรือไม่ และภาวะชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ได้

 จับตาเจรจาหยุดโลก “ทรัมป์ – สี จิ้นผิง” 30 ต.ค. ชี้ชะตาทิศทางสงครามการค้าโลก

เทศกาลเททอง ฉุดทองดิ่งรอบ 5 ปี เหตุดอลลาร์ "แข็ง"นักลงทุนหนีสินทรัพย์ปลอดภัย

เส้นทางทองคำ "การค้า-การเมืองสหรัฐฯ" ดันราคา ทะยานไม่หยุด