ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เด็กไทยเกิดน้อย-สูงวัย “ล้นเมือง” ต่ออายุเกษียณ ทางออกหรือวิกฤต

เศรษฐกิจ
15:25
120
 เด็กไทยเกิดน้อย-สูงวัย “ล้นเมือง” ต่ออายุเกษียณ ทางออกหรือวิกฤต
อ่านให้ฟัง
12:18อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

309,644 คน คือ ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ช่วง 9 เดือนของปี 2568 ถือเป็นตัวเลขน่ากังวล หากหารออกมาแล้ว พบว่า เฉลี่ยต่อเดือนมีเด็กเกิดใหม่เพียง 34,404.8 คนเท่านั้น ไม่ถึง 40,000 คน เสียด้วยซ้ำ สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างประชากรไทยกำลังเปลี่ยนแปลง และเข้าสู่สูงสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ขณะที่อัตราการเสียชีวิตไม่น้อย หน้าเช่นกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยโครงสร้างประชากรไทย ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร คนเกิดน้อยกว่าเสียชีวิต ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 ขณะที่ ข้อมูลในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนจำนวนเด็กเกิดใหม่อยู่ที่ 309,644 คน ลดลง 10% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ทำให้ทั้งปียังเสี่ยงจำนวนประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคน

โดยจังหวัดที่สถานการณ์คนเกิดน้อยกว่าเสียชีวิตมากที่สุดในประเทศไทย 3 จังหวัดแรก คือ นครราชสีมา ขอนแก่น และร้อยเอ็ด ส่วนจังหวัดที่มีจำนวนประชากรเกิดน้อยช่วง 3,000-4,000 คน ได้แก่  อุดรธานี กาฬสินธุ์ มหาสารคาม บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ลำปาง และเชียงใหม่

วิกฤตโครงสร้างประชากรจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย จากความเสี่ยงใน 3 เรื่องหลัก ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แนวโน้มการบริโภคที่ลดลง รวมถึงภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพ

และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยดังกล่าว ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะแนวทางการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในระยะยาว ข้อเสนอขยายอายุเกษียณ ซึ่งมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณา เช่น อายุเกษียณที่เหมาะสม กรอบเวลาดำเนินการ รวมถึงความพร้อมของภาคธุรกิจ

วิกฤตประชากรไทย "เกิดลด-ตายเพิ่ม"

ข้อมูลจากสำนักงานบริหารทะเบียน กรมการปกครอง เผยว่า สถิติการเพิ่มลดของประชาชนในช่วง 5 ปี (2563-2567) พบ ปี 2563 มีจำนวนประชาชน 66,186,272 ล้านคน ปี 2564 มีจำนวนประชากร 66,171,439 ล้านคน ลดลง 0.02% ปี 2565 มีจำนวนประชากร 66,090,475 ล้านคน ลดลง 0.12% ปี2566 มีจำนวนประชากร 66,052,615 ล้านคน ลดลง 0.05% และปี 2567 จำนวนประชากร 65,951,210 ล้านคน ลดลง 0.15%

ดังนั้นคาดว่าปี 2568 ด้วยจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำนวนประชากรไทยอาจจะไม่ถึง 66 ล้านคน

ในขณะที่อัตราการเกิดใหม่ ในช่วง 5 ปี (2563-2567) พบว่า การเกิดของเด็ก ลดลงอย่างต่อเนื่อง มีเพียงปี 2566 ที่มีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้น โดยปี2563 มีเด็กเกิดใหม่ 587,368 คน ปี 2564 มีเด็กเกิดใหม่จำนวน 544,570 คน ลดลง 7.28% ปี2565 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 502,107 คน ลดลง 7.79% ปี2566 จำนวนเด็กเกิดใหม่ 517,937 คนเพิ่มขึ้น 3.15% และปี 2567 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ ลดลงถึง 10.75% หรือมีจำนวนเพียง 462,240 คนเท่านั้น ในขณะที่ปี2568 ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนจำนวนเด็กเกิดใหม่อยู่ที่ 309,644 คน ลดลง 10% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา

ในขณะที่อัตราการตาย ในช่วง 5 ปี( 2563-2567) พบว่า การตายของประชากรไทย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเพียงปี2565 ที่การตายของประชากรไทย ลดลง ถึง 5.02% โดยปี2563 อัตราการตาย 501,438 คน ปี2564 มีอัตราการตาย 563,650 คน เพิ่มขึ้น 12.40% ปี2565 มีอัตราการตาย 595,965 คน เพิ่มขึ้น 5.73 % ปี2566 อัตราการตาย ลดลง 5.02% หรือมีจำนวน 565,992 คน และปี 2567 อัตราการตาย 571,646 คน เพิ่มขึ้น 0.99%

เด็กเกิดใหม่น้อย-ขาดแคลนแรงงาน รัฐเล็งขยายวัยเกษียณ

จากตัวเลขอัตราการเกิดที่ลดลง ส่งผลให้ จำนวนเด็กที่จะมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคตค่อนข้างน่าเป็นห่วง ในขณะที่จำนวนผู้สูงอายุกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ตลาดแรงงานได้ในอนาคต

ดังนั้นแนวคิดที่จะปรับการเกษียณราชการหลัง 60 ปี ให้เป็น 65ปี หรือ 70 ปี จึงถูกหยิบยกมาพูดกันอีกครั้ง ในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่มีคำสั่งให้ศึกษาแนวทางปรับการเกษียณราชการหลัง 60 ปี

โดย ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานคณะกรรม การข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. ศึกษารายละเอียดถึงความเป็นไปได้ในการขยายอายุราชการจาก 60 ปีเป็น 65 ปีหรือ 70 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ประเทศเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุ โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัย คือ ลักษณะประชากร, การเข้าสู่ระบบราชการ, งบประมาณที่ต้องใช้จ่ายเงินเดือน และความเป็นธรรมของผู้ที่ยังอยู่ในระบบราชการ

ประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายกันไป บางส่วนเห็นด้วยที่จะให้ขยายอายุเกษียณออกไป เนื่องจากมองว่า แม้ข้าราชการจำนวนไม่น้อยจะเกษียนอายุที่วัย 60 ปี แต่หลาย ๆ คนยังมีคุณความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ยังมีประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ ประกอบกับอัตราการเกิดของประชากรน้อยลง ทำให้เกิดข้อกังวลว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจทำให้งานราชการมีกำลังคนทำงานลดลง จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายหากจะขยายการเกษียณอายุออกไป

ขณะที่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมองว่า อาจมีปัญหาสุขภาพที่ทำให้กระทบกับประสิทธิภาพของการทำงาน และมองว่าควรเปิดให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ๆ ได้บรรจุเข้าทำงาน สร้างผลงานใหม่ ๆ ให้กับองค์กรน่าจะดีกว่า หรือไม่เช่นนั้น อาจจะต้องมีการกำหนดคุณสมบัติและกระบวนการประเมินสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงานเป็นรายบุคคลไปน่าจะดีกว่านั่นเอง

ด้าน ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การขยายอายุเกษียณเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรองรับปัญหาสังคมสูงวัยได้ทั้งหมด แต่เป็นเพียงการลดทอนและยืดเวลาการเกิดวิกฤติออกไป เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีเวลาปฏิรูประบบในระยะยาว เช่น ระบบบำนาญ ระบบสิทธิและสวัสดิการ และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

คนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถวางแผนการเงินส่วนบุคคลได้จริง แม้บางส่วนมีความตั้งใจแต่ติดข้อจำกัดหลายด้าน จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในเรื่องการออมและการวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ การออมผ่านหวยเกษียณ และเพิ่มสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมกับฐานะทางการคลัง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (financial literacy) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้สูงวัยไร้เงินออม-เป็นแรงงานนอกระบบสูง 86. 8%

ปัจจุบันในตลาดแรงงานมีผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานอยู่ ประมาณ 5.11 ล้านคน หรือ 37.5 % ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดกว่า 14 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ 86.8 % สะท้อนถึงการขาดความมั่นคงในการทำงานและรายได้ที่ไม่แน่นอน รวมถึงสิทธิและสวัสดิการที่น้อยกว่าแรงงานในระบบ

สำหรับรายได้ของผู้สูงอายุ พบว่ารายได้ เฉลี่ย 12,151 บาทต่อเดือน โดย ภาคการบริการและการค้าจะมีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุดที่ 13,848 บาท รองลงมาคือภาคการผลิต 12,555 บาท และภาคเกษตรกรรม 5,796 บาท

ข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า ผู้สูงอายุส่วนมากพึ่งพิงแหล่งรายได้ที่มาจากเงินสนับสนุนของบุตรหลานมากที่สุด 35.7 % ขณะที่รายได้หลักจากการทำงานมีเพียง 33.9 % และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ 13.3 % ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรการรองรับ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้ของผู้สูงอายุในระยะยาว

ปี 2567 มีผู้สูงอายุเกือบครึ่งไม่มีเงินออม 6.2 ล้านคน หรือ 44.3 % ของผู้สูงอายุทั้งหมดขณะที่ผู้ที่มีเงินออมส่วนมากก็มีเงินออมต่ำกว่า 7 หมื่นบาท จำนวน 4.2 ล้านคน หรือ 54.2 %ของประชากรสูงอายุที่มีเงินออม

วิกฤตประชากรเกิดน้อย และคนสูงวัยมีอายุยืนมากขึ้น ขณะที่มนุษย์วัยทำงานมีจำนวนลดลง ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข เพราะในระยะยะยาวจะส่งผลกระทบหลายภาคส่วน โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุข และรายจ่ายของภาครัฐที่ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว 

อ่านข่าว:

หนี้ครัวเรือนไทยสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสนบาท

 เส้นทางทองคำ "การค้า-การเมืองสหรัฐฯ" ดันราคา ทะยานไม่หยุด

"ทองคำ" พักรบ Vs ปรับฐาน ลุ้น 5 พ.ย.ศาลฎีกาชี้ชะตา"ภาษีทรัมป์"

“ผ้าไทย” จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ สานภูมิปัญญาไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับโลก