จับ 13 ผู้ต้องหาเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวนนี้มี “ขวัญชัย เนื่องจำนง” นายอำเภอเวียงแหง รวมอยู่ด้วย และนายหน้าผู้ร่วมขบวนการทุจริตสวมรายชื่อ “คนตาย” ทำบัตรประชาชนให้กับชาวต่างด้าว ราคาใบละ 400,000 บาท ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง 2 ปี พบออกบัตรฯไปแล้ว 700 ใบ เชื่อมโยงกับเครือข่ายที่เคยก่อเหตุ ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและเชียงราย
เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (20 พ.ย.2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย, พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการ ป.ป.ท.เดินทางลงพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ร่วมแถลงผลปฏิบัติการตัดหมอกเวียงแหง
มีรายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้านี้ทีมล่วงหน้าประกอบด้วย พ.ต.ท. สิริพงษ์ ศรีตุลา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท และหน่วยงานเกี่ยวข้องลงพื้นที่พบตรวจสอบจนได้ข้อเท็จจริงว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีขบวนการสวมสิทธิบัตรประชา ชนให้คนด่างด้าวจำนวนมาก และทำกันเป็นเครือข่ายขบวนการ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกระทำความผิด จนมาสู่การจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐ 13 คน ตั้งแต่นายอำเภอเวียงแหง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนายหน้า หลังพบพยานหลักฐานว่า ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีใช้พยานหลักฐาน เอกสารเท็จทำบัตรประชาชนไทยให้คนจีนเทา และคนต่างด้าว
โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอศาลออกหมายจับและเข้าตรวจค้นในพื้นที่กว่า 10 จุด พบมีบุคคลเกี่ยวข้องในขบวนการครอบครองอาวุธสงคราม ทั้งที่มีใบอนุญาต และไม่มีใบอนุญาต หรือปืนเถื่อน 6 กระบอก ซึ่งเจ้าหน้าที่ค้นเจอในบ้าน 5 กระบอก และในรถส่วนบุคคลอีก 1 กระบอก
และที่น่าตกใจ คือ ขบวนการดังกล่าวมี นายขวัญชัย เนื่องจำนง นายอำเภอเวียงแหง ถูกจับกุมดำเนินคดีและตกเป็นผู้ต้องหาส่วยสัญชาติด้วย หลังจากถูกเจ้าหน้าที่นำตัวมาสอบสวนแล้วให้การรับสารภาพว่า มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการดังกล่าวจริง จึงมีการประสานแจ้งไปยังหน่วยงานต้นสังกัด คือกรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่วิทยาลัยการปกครอง เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา
แหล่งข่าวชุดจับกุมระบุว่า ขบวนการสวมสิทธิคนตายออกบัตรให้คนต่างด้าว ได้ร่วมกันกระทำความผิด โดยแบ่งหน้าที่กันทำ หากบุคคลต่างด้าว ต้องการบัตรประจำตัวประชาชนจะเสียค่าใช้จ่าย 400,000-600,000 บาท เพื่อจะได้บัตรหัวศูนย์ หรือบัตร 0-89 ซึ่งเป็นบัตรสีขาวก่อนที่จะได้สวมบัตรบุคคลสัญชาติไทย เพื่อให้ได้มาซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล การซื้ออสังหาริมทรัพย์ การทำธุรกรรมทางการเงิน เปิดบัญชีธนาคาร หรือเปิดบริษัท
มีรายงานระบุว่า พื้นที่ในอำเภอตามแนวชายแดนไทยและเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไทย-เมียนมา เป็นจุดหนึ่งที่เจ้าหน้าที่พบว่ามีขบวนการฟอกตัวสวมสิทธิเป็นคนไทยมากที่สุด เช่น อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นต้น
โดยเฉพาะ อ.เวียงแหง ถือได้ว่าเป็นเมืองหลวงของการทุจริตในการสวมสิทธิสถานะบุคคลมาอย่างยาวนาน และมีการกระทำความผิดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 และเจ้าหน้าที่รัฐระดับปลัดอำเภอถูกจับกุมดำเนินคดี ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี ต่อมาในปี 2563 ก็มีปลัดอำเภอเข้ามาเกี่ยวข้องจนถูกลงโทษให้ออกจากราชการ และมาเกิดเหตุซ้ำรอยอีกครั้งในปี 2568
สำหรับรูปแบบของแผนประทุษกรรมไม่แตกต่างกัน คือ ขบวนการจะส่งนายหน้ามาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้ต้องการใช้บัตรประชาชนไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในขบวนการจะทราบว่ามีเลขบัตรใดบ้างที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมานานมาก แล้วจะดึงข้อมูลก็บไว้หรือมีข้อมูลแจ้งตายเด้งเข้ามาในบัญชี
หรือมีการรวบรวมรายชื่อของผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือทุรกันดารหรือตามแนวชายแดน การเดินทางเข้าถึงยากลำบาก โดยผู้ที่ถูกสวมบัตรจะมีสูติบัตรแจ้งเกิดแต่เสียชีวิตไปแล้ว และไม่มีการแจ้งตายไม่มีการจำหน่ายรายชื่อออกจากทะเบียนบ้าน และยังไม่เคยทำบัตรประชาชนมาก่อน จากนั้นจะนำตัวผู้ที่ต้องการจะสวมสิทธิทำบัตรประชาชนมาแสดงตัวพร้อมยื่นคำร้องและสวมตัวเป็นคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวเพื่อขอทำบัตรประชาชน
จากนั้นนายหน้าก็จะนำเจ้าบ้านพ่อแม่ญาติพี่น้องของผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านผู้นำชุมชนหรือบุคคลที่มีที่น่าเชื่อถือ มายืนยันรับรองสิทธิกับเจ้าหน้าที่ว่าผู้ที่ขอทำบัตรนั้น เป็นคนคนเดียวกับผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยการยื่นขอทำบัตรมักจะเป็นการยื่นขอทำบัตรครั้งแรกเกินกำหนดและอยู่นอกพื้นที่
เนื่องจากระบบมีช่องโหว่ตรงที่เป็นการทำบัตรครั้งแรก ทำให้ระบบฐานข้อมูลยังไม่มีภาพถ่ายใบหน้าและพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ใช้เปรียบเทียบจึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบเพราะการทำบัตรนอกพื้นที่ที่กฎหมายให้สิทธิประชาชนให้ทำเมื่อมีการยื่นหลักฐานครบถ้วนและมีผู้รับรองครบถ้วนทุกอย่างจึงไม่สามารถปฏิเสธคำร้องขอได้
“เจ้าหน้าที่จะเอาเลขบัตรเหล่านี้มาแอบเก็บไว้ หากใครอยากได้ เขาจะเอาไว้ขาย เพราะก่อนจะได้เลขบัตรประชาชน 13 หลักจะต้องได้เลขศูนย์ คือ 089 หรือเรียกว่า “บัตรหัวศูนย์” ซึ่งจะต้องเข้ากระบวนการตรวจสอบ เช่น มีการสืบสายโลหิต มีถิ่นที่พำนัก และก็จะนำมาฟอกสวมให้คนต่างด้าว มีทั้งชาวจีนเทา เมียนมา กัมพูชา”
มีรายงานระบุว่า ปัจจุบันแผนประทุษกรรมการซื้อ-ขาย ฟอกตัวชาวต่างด้าวสวมสิทธิบัตรประชาชนไทยจะลงมาที่ จ.ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด โดบราคาซื้อขายอยู่ที่ใบละ 4 แสนบาท หรือมากกว่านั้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งที่ทำมาหากินของคนจีน
“ในกรณีนี้ เราพบความผิดปกติมีกลุ่มจีนเทาเข้าสวมบัตรคนเสียชีวิต เนื่องจากบัตรประชาชนที่รวบรวมเป็นหลักฐานได้กว่า 20 ใบ พบข้อพิรุธคือ มีใบหน้าที่เป็นคนจีนอยู่ 4-5 คน จึงได้ประสานให้ บก.ปปป. และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ช่วยตรวจสอบโดยใช้วิธีการ FACE ID MATCHING ใน 6 คนที่นำไปตรวจสอบ พบว่า 3 คนเป็นชาวจีน และมีพลาสปอร์ต ซึ่งแสดงว่าไม่ไช่ได้บัตรมาจากถิ่นฐานกำเนินหรือแหล่งพำนักพิงและสายโลหิตที่เกิดในประเทศไทย” แหล่งข่าวชุดตรวจค้นจับกุมระบุ
มีรายงานระบุว่า สำหรับวิธีการฟอกบัตรบัตรประชาชนให้คนต่างด้าว นายหน้าจะติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกจ้างช่วยงานด้าน ทะเบียนของอำเภอ ลักลอบดำเนินการ โดยการใช้รหัสเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล ในการทำบัตรประชาชนของปลัดอำเภอที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย และปลอมลายมือชื่อของปลัดอำเภอ ให้กับผู้ที่สวมตัวทำบัตรประชาชนซึ่งปลัดและนายอำเภอมักจะ “รู้กัน”
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ทำเป็นกระบวนการและเครือข่ายใหญ่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่เคยก่อเหตุในพื้นที่ชายแดนไทยเมียนมาด้าน จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย โดยจะมีการเรียกเก็บเงินค่อนข้างสูงหลักหลายแสนบาทไปจนถึงหลักล้านบาทต่อราย และมีความเป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มหรือเครือข่ายที่ทำผิดกฎหมายอื่นเช่นยาเสพติดและการฟอกเงินทุนจีนเทา
มีรายงานระบุอีกว่า หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมทางการเงินของขบวนการปลอมแปลงบัตรประชาชนว่าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงใครบ้าง และมีตรวจข้อมูลเชิงลึกหลังพบ
ยังมีการซื้อขาย DNA เพื่อนำมาเป็นหลักฐานใช้แจ้งเกิดเพื่อให้ได้หมายเลข 13 หลักของ ชาวต่างด้าวที่มีฐานะและกำลังเงิน โดยไม่ต้องใช้บัตรหัวศูนย์หรือสวมบัตรคนตาย โดยเสียค่าใช้จ่ายรายละ 500,000-600,000 บาท จากการตรวจสอบพบว่า มีบัตรประชาชนที่ได้มาจาก DNA จำนวน 6,000-7,000 ใบ ในประเทศไทย
ขบวนการสวมตัวทำบัตรประชาชนผู้ที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศไทยอย่างมาก เพราะชาวต่างด้าวผู้สวมบัตรบางคน นอกจากได้บัตรประจำตัวประชาชนคนไทยแล้ว มีหนังสือเดินทางประเทศไทย และมีหนังสือเดินทางต่างประเทศ แถมยังมีชื่อสกุลบุคคลต่างชาติ ใช้เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หลายครั้ง โดยรูปถ่ายในหนังสือเดินทางต่างประเทศ ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชน และหนังสือเดินทางประเทศไทยอีกด้วย
จึงต้องจับตาดูว่าหลังจากนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงจะโค่นล้มขบวน การเถื่อน "ส่วยสัญชาติ" ได้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้การฟอกตัวสวมสิทธิคนต่างด้าวลอยนวลเป็นคนไทยและใช้ทรัพยากรของไทย โดยไร้วิธีการจัดการ
หมายเหตุ : นายขวัญชัย เนื่องจำนง นายอำเภอเวียงแหง ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว นอกจากตกเป็นผู้ต้องหาคดีส่วยสัญชาติแล้ว ระหว่างนี้กรมการปกครองมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่วิทยาลัยกรมการปกครอง เพื่อรอขั้นตอนเสนอให้ออกจากราชการ เนื่องจากเป็นคดีอาญา
อ่านข่าว
คำพิพากษาฉบับเต็ม คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป "ทักษิณ" จ่าย 1.76 หมื่นล้าน
ปิดฉากคดีหุ้นชินคอร์ป “ทักษิณ” ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านคืนรัฐ











