ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปิดฉากคดีหุ้นชินคอร์ป “ทักษิณ” ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านคืนรัฐ

การเมือง
15:45
234
ปิดฉากคดีหุ้นชินคอร์ป “ทักษิณ” ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านคืนรัฐ

มหากาพย์ 15 ปี นับแต่ศาลมีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 หลัง “ตระกูลชินวัตร” ได้ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทั้งหมดให้กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (Temasek Holdings) จากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549 โดยไม่เสียภาษี จำนวน 1,487,740,120 หุ้น หรือ 49.6% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ทำให้มีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงถึง 73,271 ล้านบาท

แม้กฎหมายภาษี จะระบุว่า กำไรจากการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ของบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นก็จริง แต่การเทขายหุ้นทั้งหมด ทำให้สังคมเกิดข้อกังขาไม่น้อย เนื่องจากก่อนที่หุ้นทั้งหมดจะถูกเทขายให้ “เทมาเส็ก” ได้มีการเปลี่ยนมือจากผู้ถือหุ้นจากกลุ่มตระกูลชินวัตร

ประกอบด้วย “พินทองทา ชินวัตร” ในฐานะผู้ขายรายใหญ่ 604 ล้านหุ้น มูลค่า 29,776.55 ล้านบาท ,บรรณพจน์ ดามาพงศ์ 404.43 ล้านหุ้น มูลค่า 19,918.19 ล้านบาท ,พานทองแท้ ชินวัตร 458.55 ล้านหุ้น มูลค่า 22,584 ล้านบาท “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” 20 ล้านหุ้น มูลค่า 985 ล้านบาท , “บุษบา ดามาพงศ์” 159,600 หุ้น มูลค่า 7.86 ล้านบาท

กล่าวคือ มีการโอนหุ้นผ่านตัวแทน หรือนอมินี ให้กับ “พินทองทาและพาน ทองแท้” บุตรของ “ทักษิณ ด้วยวิธีการซื้อหุ้นชินคอร์ป ฯ จากบริษัทแอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาเพียง 1 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด จึงเกิดส่วนต่างของราคาหุ้นระหว่างราคาตลาดกับราคาจริง ทำให้เงินได้รับโอนมาจากบริษัท แอมเพิล ริช ฯจึงเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร

ดังนั้น เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2560 กรมสรรพากรออกหนังสือแจ้งให้ “ทักษิณ” ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท ให้กับกรมสรรพากร แต่ฝ่ายกฎหมายของ “ทักษิณ” ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

ต่อมาศาลฯ มีคำพิพากษาให้ให้เพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยให้เหตุผล เรื่องกระบวนการออกหมายเรียกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือให้ “ทักษิณ” ชนะคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โดยระบุว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ออกหมายเรียกนายทักษิณในฐานะผู้เสียภาษีหลักภายในกำหนดเวลา

แต่เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2568 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยกลับคำตัดสินเดิมของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์ฯ โดยเห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้สร้างบรรทัดฐานที่สำคัญ มีพิจารณาถึง "เจตนา" และ "เนื้อแท้" ของธุรกรรม คือ

(1) ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง : ศาลชี้ว่า แม้หุ้นจะถูกขายโดยบุตรหรือบริษัทนอมินี แต่หลักฐานทั้งหมดชี้ชัดว่า ทักษิณคือผู้มีเงินได้ที่แท้จริง

(2) การอำพรางธุรกรรม : ศาลเห็นว่าการดำเนินการให้นอมินีถือหุ้นและใช้บริษัทต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถือหุ้นเกินกว่าที่กำหนดและเพื่อ “เลี่ยงภาษีเงินได้”

(3) หลักคุณธรรมทางภาษี : ศาลวินิจฉัยว่าธุรกรรมดังกล่าว "ขาดคุณธรรมทางภาษี" และ "ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" เมื่อเจตนาคือการอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีและกฎหมาย การทำธุรกรรมนั้นจึงไม่เข้าข้อยกเว้นการเสียภาษีสำหรับการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามปกติ

ดังนั้น ศาลจึงมองว่า กำไรจากการขายหุ้นทั้งหมดต้องถูกนำมาคำนวณเป็น “เงินได้บุคคลธรรมดา” ในอัตราสูงสุด (เหมือนการขายทรัพย์สินนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ) ทำให้เกิดภาระภาษีมหาศาล

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ กรมสรรพากร มีอำนาจเต็มในการบังคับคดีเพื่อเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 17,600 ล้านบาท คาดอาจจะใช้เวลา 1-2 เดือน เพื่อออกหมายบังคับคดี

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตามขั้นตอนกฎหมาย หลังรับรายงานจากกรมสรรพากรแล้ว ทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งให้การดำเนินการสืบทรัพย์ เพื่อเข้าสู่การดำเนินการของกรมบังคับคดี แล้วมาที่การดำเนินการของกรมสรรพากร

“ที่ผ่านมากรมสรรพากร มีแนวปฏิบัติในการฟ้องคดีเหล่านี้เป็นจำนวนมาก ส่วนจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโดยเฉพาะหรือไม่ ต้องรอให้กรมสรรพากร มารายงานต่อไป”  ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว

ขณะที่ สุรวิชช์ วีรวรรณ Surawich Verawan โพสต์เฟขบุ๊ก ติดแฮชเทค # เก็บภาษีทักษิณ 17,600ล้านบาท ต้องทำอย่างไรกระบวนการต่อจากนี้แบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ ๆ

ช่วงแรก กรมสรรพากรจะออก “หนังสือแจ้งให้ชำระภาษี” โดยระบุยอดทั้งหมดที่ต้องจ่ายและให้เวลาประมาณ 30 วันในการชำระ นี่คือขั้นตอนบังคับคดีตามมาตรา 12 และมาตรา 14 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อเอกสารถูกส่งถึงมือผู้ถูกประเมินแล้ว ความรับผิดจะเริ่มเดินอย่างสมบูรณ์ทันที

ช่วงที่ 2 หากครบกำหนดแล้วยัง “ไม่ชำระ” หรือ “ไม่ขอผ่อนชำระ” กรมสรรพากรมีอำนาจออก “คำบังคับคดีภาษี” ได้ทันที ขั้นตอนนี้ไม่ต้องไปฟ้องศาลก่อน เพราะกฎหมายภาษีให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจยึด อายัด และขายทอดตลาดได้โดยตรง อำนาจนี้ครอบคลุมถึง

  • การอายัดบัญชีธนาคาร
  • การอายัดเงินปันผล หุ้น หรือผลประโยชน์อื่น
  • การยึดทรัพย์สิน เช่น บ้าน ที่ดิน อาคาร คอนโด รถ
  • การขายทอดตลาดเพื่อนำรายได้มาชำระหนี้ภาษี                     

ทรัพย์สินใดอยู่ในประเทศไทย ถูกดำเนินการได้ทันที ส่วนทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติ ทรัพย์สินสำคัญส่วนใหญ่ของทักษิณซึ่งยังถืออยู่ในไทย สามารถถูกนำเข้ากระบวนการบังคับได้ทั้งหมด

ช่วงที่ 3 คือการ “ติดตามทรัพย์สินจนชำระครบ” ในกรณีที่ทรัพย์สินทั้งหมดไม่พอ ก็ไม่ใช่ว่าหนี้จะหายไป เพราะคำพิพากษาได้ตรึงสถานะหนี้ไว้แล้ว กรมสรรพากรสามารถติดตามทรัพย์ใหม่ ผลประโยชน์ใหม่ หรือรายได้ในอนาคต จนกว่าจะชำระครบถ้วนตามยอดในคำสั่งประเมิน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากนิตยสาร Forbes ระบุว่า เมื่อปี 2567 “ ทักษิณ ชินวัตร" ยังติดอันดับ 1 ใน 10 มหาเศรษฐีระดับโลกที่จัดอยู่ในกลประเภทกลุ่มธุรกิจการเงินและการลงทุน โดยทั้งคู่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.7 หมื่นล้านบาท) และส่วนใหญ่ลงทุน และอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ทั้งในอังกฤษ ดูไบ แอฟริกาใต้ และธุรกิจเทคโนโลยีสุขภาพ รวมถึงทรัพย์สินที่บริหารโดยครอบครัวชินวัตร

ดังนั้น หากต้องใช้คืนภาษี 17,600 ล้านบาทกับทรัพย์สินรวม หรือ 24% ของความมั่งคั่งทั้งหมด จึงมีการประเมินกันว่า “ทักษิณ” ยังมีความสามารถในการจัดหาทุนเพื่อชำระหนี้ภาษีได้

แม้สถานะปัจจุบันอดีตนายกฯผู้นี้ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม และอาจมีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการพักโทษตามเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์ ด้วยมีคดีมาตรา 112 จ่อรอคิว หลังเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา อัยการสูงสุด มีคำสั่งยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา

อ่านข่าว

ดักเก็บความหวัง “พท.” สู้ศึกเลือกตั้ง69 พลิกฟ้อง“ทักษิณ” คดี 112

พล.อ.รังษี เปิดเล่ห์เขมร “ลอบวางระเบิด” สร้างกลุ่มสแกมเมอร์