กระทรวงข้อมูลข่าวสารกัมพูชาเผยแพร่หนังสือที่เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรกัมพูชา ประจำองค์การสหประชาชาติ ส่งถึงผู้แทนถาวรสโลวีเนีย ซึ่งนั่งเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ในขณะนี้ หนังสือลงวันที่เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2568
โดยกัมพูชาเรียกร้องให้ UNSC ประณามการกระทำก้าวร้าวของไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมทั้งระบุว่า กองทัพไทยใช้อาวุธหนัก และขยายพื้นที่การโจมตีเข้าไปในเขตพลเรือนและไม่ใช่พื้นที่สู้รบ ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทำร่วมกันที่มาเลเซียด้วย
นอกจากนี้ กัมพูชายังขอให้ UNSC เรียกร้องให้ไทยหยุดการโจมตีทันที และระงับความพยายามทั้งหมดในการรุกรานอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ผ่านการใช้แผนที่ที่ไทยทำขึ้นเองแต่เพียงฝ่ายเดียว และขอให้ไทยเคารพพรมแดนที่นานาชาติรับรองด้วย รวมทั้งยังสนับสนุนให้ UNSC ส่งทีมสอบสวนอิสระลงพื้นที่ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของไทย
แม้ว่าหนังสือฉบับนี้จะไม่ได้มีการอ้างอะไรใหม่ ๆ แต่กัมพูชาได้นำข้อกฎหมายต่าง ๆ หรือจุดที่ตัวเองดูจะได้เปรียบฝ่ายไทยมาพูดถึง เพื่อเพิ่มน้ำหนักคำกล่าวอ้าง และที่น่าสนใจ คือ กัมพูชาได้หยิบเอาเรื่องความน่าเชื่อถือของ UN และความศักดิ์สิทธิ์ของกฎบัตรสหประชาชาติมาเป็นประเด็นกดดันให้มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและทันทีบนเวทีโลกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า กัมพูชากำลังเตรียมรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นฟ้องไทยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC จากกรณีที่ไทยโจมตีกัมพูชา และก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่ออธิปไตยและพลเรือนกัมพูชา ซึ่งถ้ากัมพูชาจะดำเนินการเช่นนี้จริง ๆ กระบวนการยุ่งยากมากแค่ไหน
ถ้าสรุปขั้นตอนการยื่นฟ้องออกมาคร่าว ๆ กระบวนการนี้จะสามารถทำได้ผ่าน 3 ช่องทาง นั่นคือ การยื่นผ่านอัยการ รัฐภาคียื่นเอง หรือยื่นผ่าน UNSC ซึ่งกรณีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ คือ การเตรียมเอกสารหลักฐานยื่นต่ออัยการ ICC ซึ่งกัมพูชาสามารถทำได้เนื่องจากเป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม
เมื่อยื่นแล้ว อัยการจะพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเรื่อง โดยจะดูจากหลายปัจจัย ทั้งกรณีที่ว่า ICC มีอำนาจในการพิจารณาคดีหรือไม่ ซึ่งทำได้เพราะเหตุเกิดในดินแดนกัมพูชาที่เป็นรัฐภาคี รวมทั้งต้องดูเรื่องความร้ายแรงของคดี ซึ่งกรณีนี้อาจฟ้องในฐานความผิดก่ออาชญากรรมสงคราม
นอกจากนี้ ยังต้องดูด้วยว่า จะฟ้องใคร ซึ่งต้องเป็นตัวบุคคล ไม่ใช่รัฐ รวมทั้งยังต้องดูไปถึงเจตนาในการก่อเหตุด้วย โดยถ้าอัยการพิจารณารับเรื่องแล้ว มีการประเมินเนื้อหาคำฟ้อง และตรวจสอบ ก็จะนำมาสู่การขออนุญาตเปิดการสอบสวน จนนำไปสู่การออกหมายจับ
ตามปกติ กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลานานหลายปี ยกเว้นกรณีที่ความผิดชัดเจน มีหลักฐานแน่นหนาเป็นที่ประจักษ์ เช่น คดีการลักพาตัวเด็กยูเครนไปรัสเซียในช่วงสงครามที่ปะทุขึ้นในปี 2565 ซึ่งทำให้วลาดิเมียร์ ปูติน ปธน.รัสเซีย ถูก ICC ออกหมายจับฐานก่ออาชญากรรมสงคราม โดยในตอนนั้น กระบวนการตั้งแต่ยื่นฟ้องจนถึงออกหมายจับ ใช้เวลาไปแค่ปีเดียวเท่านั้น
ส่วนกรณีของกัมพูชา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนภัทร ชาตินักรบ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุว่า ไม่ง่ายแบบนั้น อีกหนึ่งจุดที่ทำให้กัมพูชาน่าจะฟ้องไทยได้ยาก นั่นคือ เรื่องเจตนาของกองทัพไทยในการดำเนินการตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งชัดเจนว่า ไทยโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และไม่ได้พุ่งเป้าไปที่พลเรือน โดยทางการไทย ย้ำมาตลอดว่า ไทยใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นไปตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 ที่ให้สิทธิในการป้องกันตนเอง หากประเทศสมาชิกถูกโจมตีด้วยกำลังอาวุธ
เงื่อนไขในการใช้สิทธิป้องกันตนเอง ตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ มี 3 หลักพื้นฐานที่ต้องพิจารณา ได้แก่ การใช้กำลังดังกล่าวต้องมีความจำเป็นและเร่งด่วน-ฉุกเฉินจริง ๆ ในการปกป้องรัฐ เพื่อไม่ให้ความเสียหายบานปลาย และไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะหยุดการดำเนินการของอีกฝ่ายได้
การใช้กำลังนั้นต้องได้สัดส่วนที่เหมาะสมต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งหลักการข้อนี้ถือเป็นการทำให้เกิดการยับยั้งชั่งใจ-ไม่ให้การใช้สิทธิป้องกันตนเองกลายเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ หรือกลายเป็นข้ออ้างเพื่อนำไปสู่การทำพฤติกรรมก้าวร้าวต่ออีกฝ่าย และเมื่อเราดำเนินการใช้สิทธิป้องกันตนเองแล้ว ก็จะต้องรายงานให้ UNSC ทราบโดยทันที ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ ระบุว่า ไทยทำครบถ้วนสมบูรณ์ และเดินเกมอย่างรัดกุมมากทีเดียว
แนวรบทางการทูตบนเวทีโลกในรอบนี้ของไทย เรียกว่า เตรียมตัวมาดีมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารไปยังนานาชาติ ว่า ประเทศไทยกำลังปฏิบัติการต่าง ๆ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่จุดหนึ่งที่ยังคงต้องเฝ้าระวัง นั่นคือ ท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ
ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของผู้นำคนนี้ และการไม่สนใจหลักการหรือธรรมเนียมปฏิบัติตามปกติทั่ว ๆ ไป ก็อาจจะทำให้การพูดคุยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่จะถึงขั้นต้องสะดุดหรือไม่ รอติดตามกันต่อ
วิเคราะห์โดย : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
อ่านข่าวอื่น :
ขาเข้าไทยเต็มลำ! คนไทยแห่จองตั๋วเครื่องบินกลับจากกัมพูชา
ลุ้น “ทรัมป์” คุย “อนุทิน-ฮุนมาเนต” หวังสงบศึก ไทย-กัมพูชา ภาค 2











