ตลาดจับตา “ราคา”ทองยังขาขึ้น ขานรับเฟดทำมินิQE ชี้ศึกชิงประธานเฟดตัวเร่งทองคำทะยาน ด้านศูนย์วิจัยทองคำ เผย ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ เพิ่มขึ้น 1.07 จุดจากนโยบายดอกเบี้ยเฟด “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยราคาทองคำสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ตลาดมีการคาดการณ์ว่า นายเควิน แฮสเซอร์อาจจะขึ้นแท่นประธานเฟดคนต่อไปแทนนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคนปัจจุบันที่จะหมดวาระในเดือนพ.ค.ปีหน้า ในขณะที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกในการลดดอกเบี้ยของเฟดและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคตผ่านตัวเลข Dot Plot
เว็บไซต์ “ฮั่วเซ่งเฮง” วิเคราะหาสถานการณ์ทองคำในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น ศึกชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานเฟดคนต่อไป อาจดันทองคำพุ่งทะยาน โดยนายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ (NEC) ประจำทำเนียบขาว ยังคงเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งซึ่ง “ทรัมป์” ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าต้องการเลือกใครเป็นประธานเฟด แม้จะมีความกังวลในหมู่นักลงทุนวอลล์สตรีทบางส่วนว่าแฮสเซตต์มีความใกล้ชิดกับทรัมป์มากเกินไป และอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเกินไป
นอกจากนี้ นายอาทิตยา บาฟ (Aditya Bhave) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสสหรัฐฯ ที่ Bank of America คาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค.ปี 2569 ไม่ใช่เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเพราะประธานเฟดคนใหม่ และอาจทำให้เฟดเพิ่มความเสี่ยงในการผลักดันนโยบายเข้าสู่แดนผ่อนคลาย และส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในปี2569 อยู่ในช่วง 3.0 ถึง 3.25% ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าและเป็นปัจจัยบวกแก่ทองคำ อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นมาเป็นตัวเต็งของแฮสเซตต์ทำให้นักลงทุนพันธบัตรบางส่วนตื่นตระหนก เพราะเชื่อว่าอาจทำลายเสถียรภาพของตลาดพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หรือบอนด์ยีลด์สูงขึ้น อาจทำให้ราคาทองคำอาจได้รับปัจจัยกดดันเชิงลบได้เช่นกัน
ในขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ในปี 2570 ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดแตะเป้าหมายระยะยาวที่ระดับ 3% ซึ่งไม่ต่างไปจากการ Dot Plot ในการประชุมเดือนก.ย. ทั้งนี้ เฟดยังได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (GDP) เฟดคาดการณ์ GDP ในปี 2568, 2569, 2570 และ 2571 อยู่ที่ระดับ 1.7%, 2.3%, 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะมีการขยายตัว 1.6%, 1.8%, 1.9% และ 1.8% ตามลำดับ
นาย เควิน แฮสเซอร์
นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2568, 2569, 2570 และ 2571 อยู่ที่ระดับ 4.5%, 4.4%, 4.2% และ 4.2% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5%, 4.4%, 4.3% และ 4.2% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการว่างงานระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% ขณะเดียวกัน เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อตามดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2568, 2569, 2570 และ 2571 อยู่ที่ระดับ 3.0%, 2.5%, 2.1% และ 2.0% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.1%, 2.6%, 2.1% และ 2.0% ตามลำดับ อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ คือ เฟดยังได้ประกาศจะกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Treasury securities) หรือเริ่มกลับมาทำ Mini QE ที่ธนาคารกลางใช้อัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจโดยการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพื่อกดดอกเบี้ยให้ต่ำลง กระตุ้นการกู้ยืมและการลงทุน เมื่อเครื่องมือดอกเบี้ยปกติไม่เพียงพอ โดยจะเริ่มซื้อพันธบัตรระยะสั้น (Treasury bills) มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันในตลาดระดมทุนข้ามคืน (Overnight Funding Markets)เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดพันธบัตรรัฐบาลและธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ
ในขณะที่เฟดมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตขึ้นจากการลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เงินเฟ้อจะยังคงขยายตัวหรือทรงตัวสูงต่อไป ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำในสัปดาห์หน้าและลากยาวไปถึงจึงปี 2026 ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ป้องกันเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยของเฟดก็ยังไม่ฟันธงว่าในปี 2026 และ 2027 จะราบรื่น เนื่องจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดในการประชุม FOMC เมื่อวันพุธที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมากล่าวถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% ตั้งแต่เดือนก.ย. และปรับลดลง 1.75% นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2024 ว่าได้ส่งผลให้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยได้อยู่ในสถานะที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อเศรษฐกิจในวันข้างหน้าแล้ว โดยเฟดจะยังคงรอดูว่าเศรษฐกิจจะมีการพัฒนาไปในทิศทางใด และการตัดสินใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยจะยังคงดูเป็นการประชุมเป็นครั้ง ๆ ไป
จากปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้ตลาด CME FedWatch คาดการณ์ว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC ในเดือน ม.ค. และ มี.ค. ปี 2569 ถึง 77.9% และ 50.4% ตามลำดับ ทำให้ตลาดยังต้องจับตาว่า ในอนาคต เฟดจะมีการคงดอกเบี้ยเพื่อรักษาความสมดุลของตลาดแรงงาน / เงินเฟ้อ หรืออาจขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในภายหลัง ซึ่งต่างจากการคาดการณ์ใน Dot Plot หรือไม่ สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้า ยังคงต้องติดตามการจ้างงานนอกภาคเกษตรรายสัปดาห์จาก ADP การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน พ.ย./อัตราการว่างงาน เดือน พ.ย./ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต / บริการเดือน ธ.ค./ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน / ทั่วไปเดือน พ.ย. เทียบรายเดือน / รายปี/จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์/การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ / ยุโรป / ญี่ปุ่น/ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน / ทั่วไป เทียบรายเดือน / รายปี เดือน ต.ค. และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
แนวโน้มราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคระยะสั้นยังคงทรง Sideway Up ในกรอบ Ascending Triangle แต่ระยะยาวยังคงมีรูปแบบ Expanding Triangle ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ ฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกในการประชุม FOMC ของเฟดและการที่เฟดอาจได้ว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,372 และ 4,472 ดอลลาร์ และอาจกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 63,400 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 62,800 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 64,600 บาท และ 65,200 บาท
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ
ด้าน ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา จากระดับ 74.35 จุด มาอยู่ที่ระดับ 75.42 เพิ่มขึ้น 1.07 จุด หรือคิดเป็น 1.43% ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย แรงซื้อเก็งกำไร และแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางชาติต่าง ๆ สำหรับการคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือน ธ.ค. ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมอง ด้านราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 4,120 – 4,353 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 62,500 – 65,600 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และด้านค่าเงินบาท ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 30.89 – 32.80 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับ แนวโน้มของทิศทางราคาทองคำยังคงผันผวน แต่อาจมีสัญญาณของแรงซื้อกลับเมื่อราคาย่อตัว นักลงทุนจึงควรใช้กลยุทธ์รอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำปรับฐานลงมา และติดตามการเคลื่อนไหวของราคาทองเพื่อดูความชัดเจนก่อนตัดสินใจเพิ่มเติม ในทางกลับกัน หากราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นควรทยอยขายทำกำไรบางส่วน โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวหรือมีแรงขายกลับเข้ามา เนื่องจากตลาดในช่วงปลายปีมักได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องที่ลดลง และข่าวสำคัญทางด้านเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจทำให้เกิดการแกว่งตัวของราคาทองคำมากกว่าปกติ ทั้งนี้ ควรวางแผนบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
อ่านข่าว:
จับตาดอกเบี้ยเฟด “ทรัมป์”(อาจ) ดัน“แฮสเซตต์”ขึ้นปธ.เฟด ทุบดอกเบี้ย ฉุดทองคำร่วง
“อนุทิน” ย้อน “ทรัมป์” ไปบอกกัมพูชาให้หยุดยิงไทยก่อน ไทยไม่เคยเริ่มก่อน











