สถาบันปิโตรเลียมฯ ชี้แจงต้นทุนก๊าซ

สถาบันปิโตรเลียมฯ สนับสนุนให้ ปตท. เร่งลงทุนท่อส่งก๊าซเพิ่มพร้อมท่อส่งน้ำมัน เพื่อลดต้นทุน พร้อมชี้แจงที่มาข้อมูลการศึกษาต้นทุนเอ็นจีวี ที่ถูกโต้แย้งจากผู้ประกอบการขนส่งก่อนหน้านี้

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ชี้แจงราคาซื้อขายก๊าซเอ็นจีวีที่ทางสถาบันฯได้ศึกษา ว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมและเป็นข้อมูลทางวิชาการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้ โดยปี 2554 ต้นทุนเนื้อก๊าซ,ค่าผ่านท่อ และค่าดำเนินการก๊าซเอ็นจีวี จะอยู่ที่ 11 บาท 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม แต่หากต้องอัดก๊าซและส่งทางรถหัวลากรวมถึงสร้างสถานีลูกจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 6-12 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาที่นำมาคำนวณได้มาจากข้อมูลสัญญาของทุกผู้ผลิตที่แจ้งกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เพราะต้องจัดเก็บค่าภาคหลวง ส่วนค่าผ่านท่อก๊าซฯ พิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พร้อมเสนอว่า บริษัท ปตท. ควรลงทุนวางท่อ และสร้างสถานีบริการตามแนวท่อมากขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางภาคอีสาน จาก สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น และภาคเหนือ จากสระบุรี ถึงลำปาง ควบคู่กับการก่อวางท่อน้ำมัน ที่ช่วยลดต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่คาดว่าสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-4 ปี ขณะเดียวกันรัฐบาลควรแยกราคาเอ็นจีวีระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อและตามแนวท่อ

โดยจากนี้ไปสถาบันปิโตรเลียมฯพร้อมปรับบทบาทที่จะให้ข้อมูลต่อสาธารณะโดยอธิบายให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายและยืนยันความเป็นกลางของการวิจัย ทั้งนี้ สถาบันปิโตรเลียมฯดำเนินงานในรูปแบบมูลนิธิเป็นเวลา 26 ปี และมีรายได้จากการจัดการเรียนการสอนหลายหลักสูตรซึ่งมีผู้เข้าศึกษาปีละกว่า 3,500 คน ส่วนการหารือระหว่างผู้ประกอบการขนส่ง ,รถโดยสาร กับกระทรวงพลังงานเมื่อวานนี้ ทุกฝ่ายยังเห็นชอบให้ขึ้นราคาเอ็นจีวีกิโลกรัมละ 2 บาท แต่ในระยะยาวต้องศึกษาโครงสร้างราคาและต้นทุนที่ยอมรับได้ ส่วนวันนี้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จะพิจารณาเก็บเงินเข้ากองทุนนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันกลุ่มเบนซินลิตรละ 1 บาท เช่นเดียวกับแอลพีจีและเอ็นจีวีจะปรับขึ้นกิโลกรัมละ 75 สตางค์และ 50 สตางค์ ส่วนน้ำมันดีเซลยังคงอัตราเก็บเงินกองทุนน้ำมันที่ 60 สตางค์เช่นเดิม