ในชีวิตประจำวันของคนเรา บางคนอาจกินจุแต่ยังดูผอมเพรียว ส่วนบางคนดูจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่ายมากและมีแนวโน้มเป็น “โรคอ้วน” (Obesity) โดยธรรมชาติ
ข้อสังเกตนี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการศึกษาล่าสุดจากคณะนักวิจัยชาวจีนที่เผยแพร่ในวารสารเซลล์ โฮสต์ & ไมโครบ (Cell Host & Microbe) ซึ่งเสนอว่าสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของประเด็นข้างต้นอาจมาจาก “แบคทีเรียเมกะโมนาส” (Megamonas) โดยเป็นวงศ์แบคทีเรียที่ทำให้เกิด “โรคอ้วน” (Obesity)
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไชน่า ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี รายงานว่าทีมนักวิจัยจากโรงพยาบาลรุ่ยจินในเครือคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียวทง สถาบันวิจัยจีโนมิกส์ (BGI) และสถาบันวิจัยการแพทย์อัจฉริยะสังกัดสถาบันบีจีไอ ได้ระบุแบคทีเรียที่อาจเป็นต้นตอนำไปสู่ “โรคอ้วน” (Obesity) พร้อมเปิดเผยกลไกเบื้องหลังจากการศึกษาในกลุ่มคนที่มีภาวะน้ำหนักเกินจำนวนมากในจีน
การระบุแบคทีเรีย
การศึกษาหลายฉบับได้เน้นย้ำบทบาทสำคัญของโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ในลำไส้ที่มีต่อ “โรคอ้วน” (Obesity) ทว่าจุลินทรีย์เฉพาะที่มีส่วนก่อให้เกิด “โรคอ้วน” และกลไกพื้นฐานยังคงไม่มีการระบุแน่ชัด
ทีมวิจัยใช้วิธี shotgun sequencing เพื่อศึกษาสารพันธุกรรมทั้งหมดในตัวอย่างอุจจาระจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นโรคอ้วน 631 คน และกลุ่มควบคุมที่มีน้ำหนักปกติ 374 คน โดยระบุกลุ่มจุลินทรีย์ที่มี “เมกะโมนาส” เป็นส่วนใหญ่ในตัวอย่างจากบุคคลที่เป็นโรคอ้วน
นักวิจัยระบุกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีองค์ประกอบของแบคทีเรียคล้ายคลึงกัน 3 กลุ่ม ได้แก่ แบคทีรอยด์ดีส (Bacteroides) พรีโวเทลลา (Prevotella) และเมกะโมนาส จากตัวอย่าง 1,005 รายการ โดยผู้ที่มีแบคทีเรียเมกะโมนาสจำนวนมาก พบว่ามีดัชนีมวลกาย (BMI) และสัดส่วนการเป็น “โรคอ้วน” (Obesity) มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแบคทีเรียอีกสองประเภท
การวิเคราะห์เพิ่มเติมเผยให้เห็นว่า “เมกะโมนาส” สามสายพันธุ์ล้วนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับน้ำหนักตัว เส้นรอบเอว และดัชนีมวลกาย ทีมวิจัยจึงมองว่าแบคทีเรียเมกะโมนาสและ “โรคอ้วน” (Obesity) นั้นเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ
ความเสี่ยงทางพันธุกรรม
จากผลการค้นพบเกี่ยวกับ “เมกะโมนาส” ที่นำไปสู่ “โรคอ้วน” (Obesity) ทีมวิจัยได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงผลของเมกะโมนาสซึ่งมีต่อประชากรที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคอ้วนแตกต่างกัน
การศึกษาพบว่าในประชากรที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคอ้วนต่ำ แบคทีเรียเมกะโมนาสส่งผลต่อดัชนีมวลกายสูงกว่าในประชากรที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อ “โรคอ้วน” (Obesity) สูงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญพบว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ระหว่างกลุ่มคนที่เป็น “โรคอ้วน” (Obesity) และกลุ่มน้ำหนักปกติ มีความแตกต่างชัดเจนมากกว่าในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคอ้วนต่ำ
กลไกเบื้องหลัง
เพื่อเปิดเผยกลไกเบื้องหลังของแบคทีเรียที่ทำให้เกิด “โรคอ้วน” (Obesity) ทีมวิจัยได้ทำการทดลองเพิ่มเติมโดยใช้ต้นแบบหลายชนิด เช่น หนูทดลองปลอดเชื้อจําเพาะ (SPF), หนูปลอดเชื้อโรค (GF) และออร์แกนอยด์ของลำไส้เล็ก โดยใช้ M. rupellensis ซึ่งเป็นตัวแทนสายพันธุ์ของแบคทีเรียเมกะโมนาส มาใช้เป็นอาหารทดลอง
การทดลองในสัตว์เผยให้เห็นว่า M. rupellensis ไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อน้ำหนักตัวของหนูทดลองปลอดเชื้อจําเพาะที่ได้รับอาหารปกติ แต่กระตุ้นให้หนูทดลองชนิดเดียวกันที่ได้รับอาหารไขมันสูง มีน้ำหนักและสะสมไขมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนในหนูปลอดเชื้อโรคที่ได้รับอาหารไขมันสูง M. rupellensis เพิ่มน้ำหนักตัวของหนูอย่างมีนัยสำคัญ และส่งเสริมการขนส่งกรดไขมันในลำไส้และการดูดซึมไขมันอย่างชัดเจน
ทีมนักวิจัยได้พิสูจน์ศักยภาพของ M. rupellensis ในการย่อยสลายอิโนซิทอล (Inositol) ทั้งในหลอดทดลองและในร่างกาย โดยอิโนซิทอลสามารถยับยั้งประสิทธิภาพในการขนส่งกรดไขมันได้ ซึ่งสะท้อนว่าผลลัพธ์ของ M. rupellensis ในการก่อ “โรคอ้วน” (Obesity) นั้นอาจเชื่อมโยงกับการย่อยสลายอิโนซิทอล
หยางฟางหมิง นักวิจัยจากสถาบันวิจัยจีโนมิกส์ กล่าวว่าการศึกษานี้เผยความเชื่อมโยงใกล้ชิดระหว่างแบคทีเรียเมกะโมนาสและการเกิดโรคอ้วน และชี้แจงกลไกที่แบคทีเรียชนิดนี้กระตุ้นให้เกิด “โรคอ้วน” (Obesity) ซึ่งคาดว่าการศึกษาดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนการวินิจฉัยและการรักษาโรคอ้วนในอนาคต
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : cell, Xinhua
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech