ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

Canadian Caper แผนสร้างหนังปลอมช่วยคนจริงระหว่างการปฏิวัติอิหร่าน


ประวัติศาสตร์

พีรชัย พสุทันท์

แชร์

Canadian Caper แผนสร้างหนังปลอมช่วยคนจริงระหว่างการปฏิวัติอิหร่าน

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2849

Canadian Caper แผนสร้างหนังปลอมช่วยคนจริงระหว่างการปฏิวัติอิหร่าน


‘การปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Revolution)’ อาจไม่ใช่เรื่องที่คนไทยคุ้นเคยมากนัก แต่ถ้าเอ่ยถึงพล็อต “สร้างหนังปลอมช่วยคนจริง” จากภาพยนตร์ออสการ์เรื่องหนึ่ง หลายคนคงจะพอระลึกอะไรได้บ้าง

พล็อตที่ว่ามาจากหนังระทึกขวัญการเมืองเรื่อง ‘Argo’ (ค.ศ. 2012) กำกับและนำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) ซึ่งชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ครั้งที่ 85 เนื้อเรื่องชัด ๆ ก็คือ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และซีไอเอ (CIA) พยายามช่วยเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันที่ติดอยู่ในกรุงเตหะรานระหว่างการปฏิวัติอิหร่าน โดยฉากหน้าที่พวกเขาใช้ก็คือ “ทีมงานหนังไซไฟ” ที่เข้าไปในอิหร่านเพื่อสำรวจสถานที่ถ่ายทำหนัง (เก๊)

แน่นอนว่าทั้งในหนังและชีวิตจริง ภารกิจที่ว่าสำเร็จลุล่วงด้วยดีจนได้ชื่อว่าเป็น ‘Canadian Caper’ (แปลให้ดูดีหน่อยคงจะเป็น ‘วีรกรรมแคนาเดียน’ เพราะคำว่า ‘caper’ อาจหมายถึง ‘อาชญากรรม’ หรือ ‘เรื่องตลก ๆ’) แต่เบื้องหลังของภารกิจครั้งนี้และการปฏิวัติอิหร่าน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ?

ที่มาของ ‘การปฏิวัติอิหร่าน’ กับวิกฤตตัวประกันในเตหะราน

การปฏิวัติอิหร่านเริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 ก่อนหน้านั้น พระเจ้าชาห์โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (Shah Mohammad Reza Pahlavi) ทรงครองราชย์บัลลังก์นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 ระหว่างรัชสมัยของพระองค์ อิหร่านได้ผ่านการพัฒนาให้ทันสมัยตามขนบโลกตะวันตก (Westernization) มีการวางโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงสิทธิสตรีก็ก้าวหน้าขึ้นหลังจากที่ผู้หญิงสามารถไปเลือกตั้งได้ 

พระเจ้าชาห์ปาห์ลาวี และจักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี เมื่อปี 1971 (ภาพจาก: AFP)

ขณะเดียวกัน ใช่ว่าชาวอิหร่านทุกคนจะ “ลืมตาอ้าปาก” ได้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมเช่นนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศพุ่งสูงขึ้น กำลังซื้อและคุณภาพชีวิตไม่เพิ่มตามเงินเฟ้อ หลายคนเริ่มไม่พอใจที่พระเจ้าชาห์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศตะวันตก – โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา – และตั้งคำถามต่อระบอบว่า “กำลังทอดทิ้งค่านิยมอิสลามหรือไม่ ?” ส่วนฝั่งผู้มีอำนาจเองก็ตั้งหน่วยตำรวจและข่าวกรองลับที่ชื่อ ‘ซาวัก (SAVAK)’ ขึ้นในปี ค.ศ. 1957 เพื่อปราบปรามคนเห็นต่าง ทำให้อยาตอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคไมนี (Ayatollah Ruhollah Khomeini) อาจารย์สอนศาสนาและผู้นำคนหนึ่งในการวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าชาห์ ต้องออกจากอิหร่านเป็นเวลานานเกือบ 15 ปี

โคไมนี ขณะกำลังลงจากเครื่องบินในกรุงเตหะรานเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 1979 (ภาพจาก: Gabriel Duval/AFP)

ปี ค.ศ. 1978 เค้าลางแห่งการปฏิวัติอิหร่านก็ปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ นักเรียนศาสนา ฝ่ายซ้ายที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ นักบวช และกลุ่มชาตินิยม ต่างพากันลงถนนตลอดทั้งปีนั้น และช่วงครึ่งปีหลัง ข้าราชการกับพนักงานอุตสาหกรรมน้ำมันก็นัดประท้วงหยุดงานด้วย ระหว่างนั้น ก็มีการใช้กำลังปราบปรามจนผู้ประท้วงเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย การเคลื่อนไหวจึงเข้มข้นขึ้น เปิดปี ค.ศ. 1979 มา พระเจ้าชาห์เสด็จออกจากอิหร่านและตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทน หลังจากนั้นไม่นาน โคไมนีก็เดินทางจากฝรั่งเศสกลับมายังอิหร่าน โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และนำพาอิหร่านสู่การปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลาม (Islamic Republic) ส่วนพระเจ้าชาห์นั้นเสด็จสวรรคต ณ กรุงไคโร ด้วยโรคมะเร็งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1980

ผู้คนกำลังรอต้อนรับโคไมนีที่จตุรัสเสรีภาพเตหะราน หลังจากที่เขาลี้ภัยในต่างประเทศนานนับทศวรรษ (ภาพจาก: Gabriel Duval/AFP)

แม้ระบอบเก่าจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่กระแสชาตินิยมและการต่อต้านโลกตะวันตกไม่แผ่วตาม ผู้สนับสนุนโคไมนีและนักเรียนศาสนายังเชื่อว่า สหรัฐอเมริกายังคงเป็นพันธมิตรสำคัญของพระเจ้าชาห์ วันที่ 4 พ.ย. 1979 หรือราว 7 เดือนหลังผ่านประชามติก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน กลุ่มนักเรียนบุกเข้าไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงเตหะราน พร้อมคุมตัวเจ้าหน้าที่ทูตและเจ้าหน้าที่ทหาร 66 คนไว้เป็นตัวประกัน ทำให้สหรัฐอเมริกาและอิหร่านเข้าสู่วิกฤตทางการทูตทันที เว้นแต่ว่า... เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ 6 คนหลบหนีออกมาได้ในวันเกิดเหตุ

นักศึกษาและผู้สนับสนุนการปฏิวัติกำลังปีนรั้วบุกสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 1979 (ภาพจาก: IRNA/AFP)

ปฏิบัติการที่ “เหลือเชื่อยิ่งกว่าหนัง” ท่ามกลางกระแสการปฏิวัติอิหร่าน

โจเซฟ และแคทลีน สตาฟฟอร์ด (Joseph and Kathleen Stafford), มาร์ก และคอรา ลีเจก (Mark and Cora Lijek) บ็อบ แอนเดอร์ (Bob Anders) กับลี สชาร์ตซ (Lee Schartz) คือชาวอเมริกัน 6 คนที่หนีจากเหตุบุกยึดสถานทูตอเมริกันได้ เคน เทย์เลอร์ (Ken Taylor) เอกอัครราชทูตแคนาดาในอิหร่านตัดสินใจรับทั้ง 6 คนมาพำนักชั่วคราว แต่ถ้าจะให้พวกเขาอยู่ในสถานทูตก็คงจะไม่ปลอดภัย เทย์เลอร์กับจอห์น เชียร์ดาวน์ (John Sheardown) เจ้าหน้าที่ทูตแคนาดาอีกคน จึงแบ่งกันดูแลชาวอเมริกันในบ้านพักของพวกเขา หากใครมาถามว่า 6 คนนี้เป็นใคร เทย์เลอร์ก็เตรียมคำตอบไว้แล้วว่า “พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่แคนาดาที่มาท่องเที่ยวในอิหร่าน” 

เคน เทย์เลอร์ ทูตแคนาดาในอิหร่าน ขณะพูดคุยกับผู้สื่อข่าวของ Canadian Press ในปี 1980 (ภาพจาก: Peter Bregg/Canadian Press via CBC)

ก่อนที่การปฏิวัติอิหร่านจะปะทุ เทย์เลอร์ได้ช่วยเหลือให้ชาวแคนาดาหลายร้อยชีวิตเดินทางออกจากประเทศช่วงต้นปี ค.ศ. 1979 ดังนั้น เทย์เลอร์จึงเป็นคนที่ “อยู่ถูกที่ ถูกงาน ถูกเวลา” ในการช่วยเหลือชาวอเมริกันทั้ง 6 คนนี้ เขาต้องเร่งประสานงานกับสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแคนาดาก่อนที่ความจะแตก ไม่นานหลังจากนั้น รัฐบาลแคนาดาแอบอนุมัติการออกหนังสือเดินทางปลอมให้เหล่า ‘Canadian Six (ชาวแคนาดาเก๊ทั้งหก)’ ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐและ CIA ต้องหาแผนช่วยเหลือพลเรือนที่ไม่มีทักษะสายลับอะไรใด ๆ เลยให้ได้

โทนี เมนเดซ เจ้าหน้าที่ CIA ตัวจริง (ขวา) เทียบกับเบน แอฟเฟ็ก ผู้รับบทเป็นเมนเดซในหนังเรื่อง ‘Argo (2012)’ (ภาพจาก: CIA)

ปกติแล้ว ฉากหน้าของปฏิบัติการลับใด ๆ ไม่ควรจะโฉ่งฉ่างเลย แต่โทนี เมนเดซ (Tony Mendez) เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิบัติการลับของ CIA ประเมินว่า ในบริบทของการปฏิวัติอิหร่านนั้นจะใช้แผนการณ์ดาด ๆ ไม่ได้ เขาเคยกล่าวไว้ว่า “แล้วถ้าเราวางแผนฉากหน้าให้ดูน่าเหลือเชื่อเสียจนไม่มีใครเชื่อว่า เรื่องแบบนี้คงถูกใช้เป็นแผนลับได้ล่ะ ?” เมนเดซจึงตัดสินใจวางแผนที่นับว่าเสี่ยงมาก แผนที่ว่านั้นก็คือ ให้เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้ง 6 คนสวมรอยเป็นทีมงานหนังชาวแคนาดาที่กำลังหาสถานที่ถ่ายทำหนังอยู่ และเมนเดซก็ดึงจอห์น แชมเบอร์ (John Chambers) ศิลปินแต่งหน้าเอฟเฟคผู้สร้างสรรค์หน้ากากลิงใน ‘พิภพวานร (Planet of the Apes - ค.ศ. 1968)’ และผู้รับเหมาของ CIA มาร่วมด้วยช่วยก่อตั้งสตูดิโอ ‘Studio Six’ เป็นฉากหน้าของปฏิบัติการนี้

โปสเตอร์และอาร์ตเวิร์กของหนังเก๊ ‘Argo’ ระหว่างปฏิบัติการร่วมของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา (ภาพจาก: CIA)

ไหน ๆ แผนนี้จะ “เว่อร์” แล้ว ก็ต้องไปให้สุด แชมเบอร์หยิบบทและอาร์ตเวิร์กของหนังไซไฟที่ไม่เคยได้สร้างจากนวนิยาย ‘Lord of Light’ มาใช้ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘Argo’ ชื่อนี้อ้างอิงถึงเรืออาร์โก (Argo) ที่เจสัน (Jason) วีรบุรุษในตำนานปรัมปรากรีกใช้เป็นพาหนะออกล่าขนแกะทองคำ (Golden Fleece) เดือนมกราคม ค.ศ. 1980 จิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ผู้นำสหรัฐในตอนนั้นได้อนุมัติปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ ทีนี้ เมนเดซก็พร้อมที่จะพา “แกะทองคำ” กลับบ้านแล้ว

25 ม.ค. 1980 เมนเดซและเจ้าหน้าที่ CIA อีกคนหนึ่งเดินทางไปถึงเตหะราน นอกจากรายละเอียดต่าง ๆ ที่ “ดูสมจริงแล้ว Argo ยังดูน่าเชื่อส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า 3 ปีก่อนหน้านั้น มหากาพย์อวกาศอย่าง ‘Star Wars’ (ค.ศ. 1977) ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เมื่อเมนเดซไปถึงบ้านพักของเจ้าหน้าที่ทูตแคนาดา เขามีเวลา 2 วันในการ “เตี๊ยม” ชาวอเมริกันทั้ง 6 คน โดยเจ้าหน้าที่ทูตแคนาดาก็ช่วยฝึกซ้อมเป็นภาษาฟาร์ซีด้วย เผื่อตรวจคนเข้าเมืองจะซักถามอย่างละเอียด และ 28 ม.ค. ก็ถึงวันวันบินของเมนเดซและเพื่อนร่วมชาติของเขา หากไม่นับว่าเที่ยวบินของ Swissair จะล่าช้าไปเล็กน้อยจากเหตุเครื่องยนต์ขัดข้อง ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี และทุกคนได้กลับบ้าน

เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐทั้ง 6 หรือ ‘Canadian Six’ ถ่ายรูปร่วมกับประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 1980 (ภาพจาก: Jimmy Carter Presidential Library & Museum/NARA)

นอกจาก Canadian Capet แล้ว ยังมีปฏิบัติการ ‘Operation Eagle Claw’ เพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ติดค้างในกรุงเตหะราน แต่เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเสียก่อน ทำให้ทหารอเมริกัน 8 นายเสียชีวิตจนต้องยกเลิกปฏิบัติการไปโดยปริยาย หลังจากการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ตัวประกันอเมริกันที่เหลือก็ถูกปล่อยตัวในวันที่ 20 ม.ค. 1981 ซึ่งเป็นวันที่โรนัลด์ เรแกน (Ronald Regan) เข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ เป็นอันสิ้นสุดวิกฤตตัวประกันที่กินเวลาไป 444 วัน ต่อมา ในปี ค.ศ. 1997 CIA ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Canadian Caper สู่สาธารณชนในโอกาสครบรอบ 50 ปีของหน่วยงาน

ชาวอเมริกันทำป้ายขอบคุณแคนาดาที่ช่วยเหลือสหรัฐอเมริกาในภารกิจ Canadian Caper (ภาพจาก: CIA)

นับว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (international relations)’ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการแก้วิกฤตตัวประกันครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดาในปฏิบัติการ Canadian Caper ก็ดี หรือการเจรจาของสหรัฐอเมริกาและอิหร่านหลังการปฏิวัติอิหร่านเริ่มคลี่คลายลงก็ดี อีกทั้ง ‘ไหวพริบปฏิภาณ’ และ ‘การคิดนอกรอบ’ ก็สำคัญไม่แพ้กันสำหรับทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นคนทำงานออฟฟิศทั่ว ๆ ไปหรือเป็นสายลับที่มีชีวิตของคนอื่นเป็นเดิมพัน

สำรวจเหตุการณ์การเมืองโลกครั้งสำคัญ ๆ ไปกับเนื้อหาจาก Thai PBS

งานต้อนรับตัวประกันที่เหลือระหว่างพิธีสาบานตนของโรนัลด์ เรแกน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 1981 (ภาพจาก: Ronald Reagan Presidential Library and Museum/NARA)

อ้างอิง

  • Argo: The Ingenious Exfiltration of the "Canadian Six,” Central Intelligence Agency
  • Iranian Revolution, Britannica 
  • Jimmy Carter, Iran, and the Canadian Caper, The White House Historical Association
  • Ken Taylor and the Canadian Caper, Government of Canada
  • Quién es Reza Pahlavi, el príncipe heredero del sha de Persia que se postula desde EE.UU. como alternativa al régimen islámico de Irán, BBC Mundo

ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now

จิมมี คาร์เตอร์ (ขวา) แสดงความยินดีแก่โทนี เมนเดซ ในห้องทำงานรูปไข่ เมื่อปี 1980 (ภาพจาก: CIA)

แท็กที่เกี่ยวข้อง

อิหร่านแคนาดาสหรัฐอเมริกาการปฏิวัติอิหร่านCanadian Caper
พีรชัย พสุทันท์

ผู้เขียน: พีรชัย พสุทันท์

ศิษย์เก่าอักษร จุฬาฯ และโปรแกรมปริญญาโททุน EU ด้านวรรณกรรมยุโรปในฝรั่งเศสและกรีซ ผู้ชอบพาตัวเองไป (หลง) อยู่ในกระแสพหุวัฒนธรรม และเปิดเพลง ABBA ประโลมชีวิตทุกครั้งที่เขียนงาน | porrorchor.com

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด