‘การปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Revolution)’ อาจไม่ใช่เรื่องที่คนไทยคุ้นเคยมากนัก แต่ถ้าเอ่ยถึงพล็อต “สร้างหนังปลอมช่วยคนจริง” จากภาพยนตร์ออสการ์เรื่องหนึ่ง หลายคนคงจะพอระลึกอะไรได้บ้าง
พล็อตที่ว่ามาจากหนังระทึกขวัญการเมืองเรื่อง ‘Argo’ (ค.ศ. 2012) กำกับและนำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) ซึ่งชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ครั้งที่ 85 เนื้อเรื่องชัด ๆ ก็คือ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และซีไอเอ (CIA) พยายามช่วยเจ้าหน้าที่ทูตอเมริกันที่ติดอยู่ในกรุงเตหะรานระหว่างการปฏิวัติอิหร่าน โดยฉากหน้าที่พวกเขาใช้ก็คือ “ทีมงานหนังไซไฟ” ที่เข้าไปในอิหร่านเพื่อสำรวจสถานที่ถ่ายทำหนัง (เก๊)
แน่นอนว่าทั้งในหนังและชีวิตจริง ภารกิจที่ว่าสำเร็จลุล่วงด้วยดีจนได้ชื่อว่าเป็น ‘Canadian Caper’ (แปลให้ดูดีหน่อยคงจะเป็น ‘วีรกรรมแคนาเดียน’ เพราะคำว่า ‘caper’ อาจหมายถึง ‘อาชญากรรม’ หรือ ‘เรื่องตลก ๆ’) แต่เบื้องหลังของภารกิจครั้งนี้และการปฏิวัติอิหร่าน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ?
ที่มาของ ‘การปฏิวัติอิหร่าน’ กับวิกฤตตัวประกันในเตหะราน
การปฏิวัติอิหร่านเริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 ก่อนหน้านั้น พระเจ้าชาห์โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (Shah Mohammad Reza Pahlavi) ทรงครองราชย์บัลลังก์นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 ระหว่างรัชสมัยของพระองค์ อิหร่านได้ผ่านการพัฒนาให้ทันสมัยตามขนบโลกตะวันตก (Westernization) มีการวางโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงสิทธิสตรีก็ก้าวหน้าขึ้นหลังจากที่ผู้หญิงสามารถไปเลือกตั้งได้

ขณะเดียวกัน ใช่ว่าชาวอิหร่านทุกคนจะ “ลืมตาอ้าปาก” ได้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมเช่นนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศพุ่งสูงขึ้น กำลังซื้อและคุณภาพชีวิตไม่เพิ่มตามเงินเฟ้อ หลายคนเริ่มไม่พอใจที่พระเจ้าชาห์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศตะวันตก – โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา – และตั้งคำถามต่อระบอบว่า “กำลังทอดทิ้งค่านิยมอิสลามหรือไม่ ?” ส่วนฝั่งผู้มีอำนาจเองก็ตั้งหน่วยตำรวจและข่าวกรองลับที่ชื่อ ‘ซาวัก (SAVAK)’ ขึ้นในปี ค.ศ. 1957 เพื่อปราบปรามคนเห็นต่าง ทำให้อยาตอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคไมนี (Ayatollah Ruhollah Khomeini) อาจารย์สอนศาสนาและผู้นำคนหนึ่งในการวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าชาห์ ต้องออกจากอิหร่านเป็นเวลานานเกือบ 15 ปี

ปี ค.ศ. 1978 เค้าลางแห่งการปฏิวัติอิหร่านก็ปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ นักเรียนศาสนา ฝ่ายซ้ายที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ นักบวช และกลุ่มชาตินิยม ต่างพากันลงถนนตลอดทั้งปีนั้น และช่วงครึ่งปีหลัง ข้าราชการกับพนักงานอุตสาหกรรมน้ำมันก็นัดประท้วงหยุดงานด้วย ระหว่างนั้น ก็มีการใช้กำลังปราบปรามจนผู้ประท้วงเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย การเคลื่อนไหวจึงเข้มข้นขึ้น เปิดปี ค.ศ. 1979 มา พระเจ้าชาห์เสด็จออกจากอิหร่านและตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทน หลังจากนั้นไม่นาน โคไมนีก็เดินทางจากฝรั่งเศสกลับมายังอิหร่าน โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และนำพาอิหร่านสู่การปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลาม (Islamic Republic) ส่วนพระเจ้าชาห์นั้นเสด็จสวรรคต ณ กรุงไคโร ด้วยโรคมะเร็งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1980

แม้ระบอบเก่าจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่กระแสชาตินิยมและการต่อต้านโลกตะวันตกไม่แผ่วตาม ผู้สนับสนุนโคไมนีและนักเรียนศาสนายังเชื่อว่า สหรัฐอเมริกายังคงเป็นพันธมิตรสำคัญของพระเจ้าชาห์ วันที่ 4 พ.ย. 1979 หรือราว 7 เดือนหลังผ่านประชามติก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน กลุ่มนักเรียนบุกเข้าไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงเตหะราน พร้อมคุมตัวเจ้าหน้าที่ทูตและเจ้าหน้าที่ทหาร 66 คนไว้เป็นตัวประกัน ทำให้สหรัฐอเมริกาและอิหร่านเข้าสู่วิกฤตทางการทูตทันที เว้นแต่ว่า... เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ 6 คนหลบหนีออกมาได้ในวันเกิดเหตุ

ปฏิบัติการที่ “เหลือเชื่อยิ่งกว่าหนัง” ท่ามกลางกระแสการปฏิวัติอิหร่าน
โจเซฟ และแคทลีน สตาฟฟอร์ด (Joseph and Kathleen Stafford), มาร์ก และคอรา ลีเจก (Mark and Cora Lijek) บ็อบ แอนเดอร์ (Bob Anders) กับลี สชาร์ตซ (Lee Schartz) คือชาวอเมริกัน 6 คนที่หนีจากเหตุบุกยึดสถานทูตอเมริกันได้ เคน เทย์เลอร์ (Ken Taylor) เอกอัครราชทูตแคนาดาในอิหร่านตัดสินใจรับทั้ง 6 คนมาพำนักชั่วคราว แต่ถ้าจะให้พวกเขาอยู่ในสถานทูตก็คงจะไม่ปลอดภัย เทย์เลอร์กับจอห์น เชียร์ดาวน์ (John Sheardown) เจ้าหน้าที่ทูตแคนาดาอีกคน จึงแบ่งกันดูแลชาวอเมริกันในบ้านพักของพวกเขา หากใครมาถามว่า 6 คนนี้เป็นใคร เทย์เลอร์ก็เตรียมคำตอบไว้แล้วว่า “พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่แคนาดาที่มาท่องเที่ยวในอิหร่าน”

ก่อนที่การปฏิวัติอิหร่านจะปะทุ เทย์เลอร์ได้ช่วยเหลือให้ชาวแคนาดาหลายร้อยชีวิตเดินทางออกจากประเทศช่วงต้นปี ค.ศ. 1979 ดังนั้น เทย์เลอร์จึงเป็นคนที่ “อยู่ถูกที่ ถูกงาน ถูกเวลา” ในการช่วยเหลือชาวอเมริกันทั้ง 6 คนนี้ เขาต้องเร่งประสานงานกับสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแคนาดาก่อนที่ความจะแตก ไม่นานหลังจากนั้น รัฐบาลแคนาดาแอบอนุมัติการออกหนังสือเดินทางปลอมให้เหล่า ‘Canadian Six (ชาวแคนาดาเก๊ทั้งหก)’ ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐและ CIA ต้องหาแผนช่วยเหลือพลเรือนที่ไม่มีทักษะสายลับอะไรใด ๆ เลยให้ได้

ปกติแล้ว ฉากหน้าของปฏิบัติการลับใด ๆ ไม่ควรจะโฉ่งฉ่างเลย แต่โทนี เมนเดซ (Tony Mendez) เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิบัติการลับของ CIA ประเมินว่า ในบริบทของการปฏิวัติอิหร่านนั้นจะใช้แผนการณ์ดาด ๆ ไม่ได้ เขาเคยกล่าวไว้ว่า “แล้วถ้าเราวางแผนฉากหน้าให้ดูน่าเหลือเชื่อเสียจนไม่มีใครเชื่อว่า เรื่องแบบนี้คงถูกใช้เป็นแผนลับได้ล่ะ ?” เมนเดซจึงตัดสินใจวางแผนที่นับว่าเสี่ยงมาก แผนที่ว่านั้นก็คือ ให้เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้ง 6 คนสวมรอยเป็นทีมงานหนังชาวแคนาดาที่กำลังหาสถานที่ถ่ายทำหนังอยู่ และเมนเดซก็ดึงจอห์น แชมเบอร์ (John Chambers) ศิลปินแต่งหน้าเอฟเฟคผู้สร้างสรรค์หน้ากากลิงใน ‘พิภพวานร (Planet of the Apes - ค.ศ. 1968)’ และผู้รับเหมาของ CIA มาร่วมด้วยช่วยก่อตั้งสตูดิโอ ‘Studio Six’ เป็นฉากหน้าของปฏิบัติการนี้

ไหน ๆ แผนนี้จะ “เว่อร์” แล้ว ก็ต้องไปให้สุด แชมเบอร์หยิบบทและอาร์ตเวิร์กของหนังไซไฟที่ไม่เคยได้สร้างจากนวนิยาย ‘Lord of Light’ มาใช้ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘Argo’ ชื่อนี้อ้างอิงถึงเรืออาร์โก (Argo) ที่เจสัน (Jason) วีรบุรุษในตำนานปรัมปรากรีกใช้เป็นพาหนะออกล่าขนแกะทองคำ (Golden Fleece) เดือนมกราคม ค.ศ. 1980 จิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ผู้นำสหรัฐในตอนนั้นได้อนุมัติปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ ทีนี้ เมนเดซก็พร้อมที่จะพา “แกะทองคำ” กลับบ้านแล้ว
25 ม.ค. 1980 เมนเดซและเจ้าหน้าที่ CIA อีกคนหนึ่งเดินทางไปถึงเตหะราน นอกจากรายละเอียดต่าง ๆ ที่ “ดูสมจริงแล้ว Argo ยังดูน่าเชื่อส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า 3 ปีก่อนหน้านั้น มหากาพย์อวกาศอย่าง ‘Star Wars’ (ค.ศ. 1977) ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เมื่อเมนเดซไปถึงบ้านพักของเจ้าหน้าที่ทูตแคนาดา เขามีเวลา 2 วันในการ “เตี๊ยม” ชาวอเมริกันทั้ง 6 คน โดยเจ้าหน้าที่ทูตแคนาดาก็ช่วยฝึกซ้อมเป็นภาษาฟาร์ซีด้วย เผื่อตรวจคนเข้าเมืองจะซักถามอย่างละเอียด และ 28 ม.ค. ก็ถึงวันวันบินของเมนเดซและเพื่อนร่วมชาติของเขา หากไม่นับว่าเที่ยวบินของ Swissair จะล่าช้าไปเล็กน้อยจากเหตุเครื่องยนต์ขัดข้อง ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี และทุกคนได้กลับบ้าน

นอกจาก Canadian Capet แล้ว ยังมีปฏิบัติการ ‘Operation Eagle Claw’ เพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ติดค้างในกรุงเตหะราน แต่เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเสียก่อน ทำให้ทหารอเมริกัน 8 นายเสียชีวิตจนต้องยกเลิกปฏิบัติการไปโดยปริยาย หลังจากการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ตัวประกันอเมริกันที่เหลือก็ถูกปล่อยตัวในวันที่ 20 ม.ค. 1981 ซึ่งเป็นวันที่โรนัลด์ เรแกน (Ronald Regan) เข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ เป็นอันสิ้นสุดวิกฤตตัวประกันที่กินเวลาไป 444 วัน ต่อมา ในปี ค.ศ. 1997 CIA ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Canadian Caper สู่สาธารณชนในโอกาสครบรอบ 50 ปีของหน่วยงาน

นับว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (international relations)’ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการแก้วิกฤตตัวประกันครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดาในปฏิบัติการ Canadian Caper ก็ดี หรือการเจรจาของสหรัฐอเมริกาและอิหร่านหลังการปฏิวัติอิหร่านเริ่มคลี่คลายลงก็ดี อีกทั้ง ‘ไหวพริบปฏิภาณ’ และ ‘การคิดนอกรอบ’ ก็สำคัญไม่แพ้กันสำหรับทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นคนทำงานออฟฟิศทั่ว ๆ ไปหรือเป็นสายลับที่มีชีวิตของคนอื่นเป็นเดิมพัน
สำรวจเหตุการณ์การเมืองโลกครั้งสำคัญ ๆ ไปกับเนื้อหาจาก Thai PBS
- สงครามน้ำ อินเดีย-ปากีสถาน | FLASHPOINT จุดร้อนโลก
- เจาะทฤษฎีการเมือง ‘ชาตินิยม’ ไม่เท่ากับ ‘รักชาติ’ ? | Thai PBS NOW
- สงครามอิหร่าน-อิสราเอล สะเทือนดุลอำนาจตะวันออกกลางผ่านเลนส์ของทูต 2 ประเทศ | ทันโลก SPECIAL

อ้างอิง
- Argo: The Ingenious Exfiltration of the "Canadian Six,” Central Intelligence Agency
- Iranian Revolution, Britannica
- Jimmy Carter, Iran, and the Canadian Caper, The White House Historical Association
- Ken Taylor and the Canadian Caper, Government of Canada
- Quién es Reza Pahlavi, el príncipe heredero del sha de Persia que se postula desde EE.UU. como alternativa al régimen islámico de Irán, BBC Mundo
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now
