พวกเราอาจคุ้นเคยกับคำว่า ‘รักชาติ’ ผ่านข่าวสาร บทสนทนา และวาทกรรมต่าง ๆ และคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้คำว่า ‘ชาตินิยม’ ในความหมายเดียวกับความรักชาติ
ในทางปรัชญาการเมืองนั้น มี 2 คำที่ใช้บรรยายถึงพฤติกรรมของผู้ที่รัก ‘ประเทศ’ หรือ ‘ชาติ’ ของตน ได้แก่ ความรักต่อประเทศชาติ/สำนึกรักปิตุภูมิ (patriotism) และ ชาตินิยม (nationalism) หากแปลเป็นไทย เราคงเข้าใจว่าแนวคิดทั้ง 2 หมายถึงความ ‘รักชาติ’ เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้ว ‘ความรักต่อประเทศชาติ’ กับ ‘ชาตินิยม’ อาจเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
เข้าใจ ‘ชาตินิยม’ และ ‘สำนึกรักปิตุภูมิ’ ผ่านภาษาและปรัชญาการเมือง
บทความ ‘What is the difference between nationalism and patriotism?’ ของ The Conversation เสนอว่า เราต้องดูความหมายของคำว่า ‘ประเทศ’ และ ‘ชาติ’ เป็นอันดับแรกก่อนที่จะทำความเข้าใจว่า ‘ความรักต่อประเทศชาติ’ กับ ‘ชาตินิยม’ คืออะไร
‘ประเทศ (country)’ หมายถึง ดินแดนหรือพื้นที่ผืนหนึ่งที่ปกครองด้วยรัฐบาลชุดหนึ่ง บางครั้งอาจเรียกประเทศว่า ‘รัฐ (state)’ ก็ได้ ส่วน ‘ชาติ (nation)’ คือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา หรือองค์ประกอบบางอย่างร่วมกัน เมื่อกล่าวเช่นนี้ ประเทศจึงไม่เท่ากับชาติเสมอไป เว้นแต่จะเป็น ‘รัฐชาติ (nation-state)’ ที่คนทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กรอบเชื้อชาติ ความคิด และภาษาเดียวกันโดยสมบูรณ์ เช่น เกาหลีเหนือ
ทั้งความรักประเทศชาติและชาตินิยม ต่างพูดถึงทัศนคติและการกระทำเพื่อเชิดชูประเทศชาติเหมือนกัน แต่ปัจจัยหลาย ๆ ด้านก็ทำให้ทั้ง 2 แนวคิดแตกต่างกันพอสมควร
ความรักประเทศชาติ/สำนึกรักปิตุภูมิ คือ “ความจงรักภักดีและการอุทิศตนต่อสถานที่หนึ่ง (loyalty and devotion to a place)” สถานที่ในที่นี้ก็หมายถึงประเทศ เพราะศัพท์ patriotism ประกอบด้วยคำว่า ‘πατρίδα (ปา-ตรี-ดา)’ หรือปิตุภูมิจากภาษากรีกอยู่ด้วย แนวคิดหลักของความรักประเทศชาติอยู่ที่การคิดถึง “ประโยชน์ส่วนรวม” ก่อนเรื่องส่วนตน ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (solidarity) และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง “คนทุกกลุ่ม” ในดินแดนเดียวกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง ความรักประเทศชาติไม่แบ่งเขาแบ่งเรา และไม่เปรียบเทียบกันเอง

ส่วนแนวคิดชาตินิยมนั้นตั้งอยู่บน “ความจงรักภักดีต่อชาติ (loyalty to a nation)” และสายสัมพันธ์ที่คนคนหนึ่งยึดถือร่วมกับ “คนกลุ่มหนึ่ง” ในด้านประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม หรือศาสนา ขณะที่ชาตินิยม “แบบอ่อน (soft form)” ช่วยทำให้เอกราช ความเป็นปึกแผ่น และอัตลักษณ์ของชาติ/กลุ่มคงเส้นคงวาไม่เลื่อนลอย ชาตินิยม “แบบก้าวร้าว (aggressive form)” นั้นเกี่ยวโยงไปถึงความเกลียดชัง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การด้อยค่าคนและชาติอื่น ๆ (derogation of other nations) และการเห็นว่ากลุ่มของตนเหนือกว่า (superiority) ทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่ความคลั่งชาติ (chauvinism) ได้ในท้ายที่สุด
เส้นแบ่งอันเลือนรางระหว่าง ‘ความรักชาติ’ และ ‘ชาตินิยม (สุดโต่ง)’
ตัวอย่างของสำนึกรักปิตุภูมิบนหน้าประวัติศาสตร์โลก เช่น มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) นักเคลื่อนไหวชาวแอฟริกัน-อเมริกันในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองและความเท่าเทียมกัน แกนกลางของการต่อสู้ที่ว่านี้อยู่ที่ “ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ซึ่งอยู่เหนือเหนือกว่าชาติพันธุ์และการเมืองใด ๆ ส่วนตัวอย่างของนักชาตินิยมสุดโต่งคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำนาซีเยอรมนีที่ก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) เพื่อนมนุษย์นับล้าน เพื่อรักษา “ชาติ” หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเอาไว้

จะเห็นได้ว่า ความแตกต่างหลัก ๆ ระหว่างชาตินิยมและสำนึกรักปิตุภูมิคือ การแบ่งแยกเขา-เรา ฟังดูเหมือนจะเข้าใจง่ายในทางทฤษฎี แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เส้นแบ่งระหว่างคำ 2 คำนี้กลับพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างการดำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กล่าวไว้ว่าตัวเขาเอง “เป็นนักชาตินิยม (I’m a nationalist)” ทว่าในอีกวาระหนึ่ง เขาบอกว่า อเมริกา “โอบรับหลักการสำนึกรักปิตุภูมิ (We embraced the doctrine of patriotism)” อีกทั้งทรัมป์ยังเคยชื่นชมกลุ่มชาตินิยมผิวขาว (white nationalism) และกลุ่มขวาจัด (far-right) ที่ก่อเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐปี ค.ศ. 2021 (Jan 6 Capitol attack) ไว้ว่าเป็น “ผู้รักชาติผู้น่าทึ่ง (unbelievable patriots)” จึงอาจกล่าวได้ว่า นิยามของคำว่า ‘ความรักประเทศชาติ’ กำลังถูกกลืนกินโดยคำว่า ‘ชาตินิยมสุดโต่ง’ ในหลายประเทศในปัจจุบัน

แนวคิด ‘ชาตินิยม’ และ ‘สำนักรักปิตุภูมิ’ ต่างส่งผลกระทบต่อสังคมแตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นทางการเมือง (political trust) หากสังคมหนึ่งมีความสำนึกรักมาตุภูมิและความมั่นคงทางการเมืองสูง ก็จะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นทางการเมืองมากตามไปด้วย อีกทั้งช่วยส่งเสริมความตื่นตัวทางการเมืองและประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน ถ้าแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งหรือคลั่งชาติแข็งแรง ก็อาจสะท้อนได้ว่าผู้คนไม่เชื่อมั่นในการเมือง จนอาจทำให้เกิดการ “ข้ามเส้นความถูก-ผิด” เพื่อรักษาอุดมการณ์ของกลุ่ม
นิยามของ ‘ชาตินิยม’ และ ‘สำนึกรักปิตุภูมิ’ จึงสำคัญต่อการทำความเข้าใจความ ‘รักชาติ’ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและรัฐ หากประเทศหนึ่งมีความเสถียรและมั่นคงทางการเมือง ชาตินิยมแบบอ่อนและสำนึกรักปิตุภูมิสามารถช่วยขับเคลื่อนอัตลักษณ์ของ ‘ประเทศชาติ’ ให้แข็งแรงขึ้น แต่หากความเกลียดชังและความสุดโต่งมีบทบาทเหนือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็อาจนำมาสู่ความขัดแย้งได้ทั้งภายในและภายนอกรัฐใดรัฐหนึ่ง

ติดตามเนื้อหาอื่น ๆ จากเครือ Thai PBS
- ‘Mai 68’ การประท้วงพฤษภาคม 1968 ที่เปลี่ยน ‘ฝรั่งเศส’ ไปตลอดกาล | Thai PBS NOW
- ย้อนจุดเริ่มต้น "อิสราเอล-ปาเลสไตน์" ชนวนเหตุ "ตะวันออกกลาง" ลุกเป็นไฟ | Back to Basics
- ช่องบก-ตาเมือน ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก | ทันโลก SPACIAL
อ้างอิง
- Between patriotism and nationalism: National identity in the education policy of Law and Justice. Comments on the 2017 education reform, The Right-Wing Critique of Europe (2022), Routledge
- Martin Luther King, Jr., Model of an American Patriot, Trump White House Archive
- Nationalism is not patriotism: 3 insights from Orwell about Trump and the 2024 election, The Conversation
- The opposing roles of patriotism and nationalism in explaining trust in a political system, Social Sciences & Humanities Open, Volume 10, 2024
- Trump Calls Imprisoned Jan. 6 Rioters 'Hostages' And 'Unbelievable Patriots' At Ohio Rally, Forbes Breaking News [YouTube]
- Trump on Jan. 6 insurrection: ‘These were great people,’ Politico
- What is the difference between nationalism and patriotism?, The Conversation
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now