ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เก็บตก “งาน 1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล”  เดินหน้าต่ออย่างไร ในวันที่ “ทีวี” อ่อนแรงความนิยม


Insight

สันทัด โพธิสา

แชร์

เก็บตก “งาน 1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล”  เดินหน้าต่ออย่างไร ในวันที่ “ทีวี” อ่อนแรงความนิยม

https://www.thaipbs.or.th/now/content/1599

เก็บตก “งาน 1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล”  เดินหน้าต่ออย่างไร ในวันที่ “ทีวี” อ่อนแรงความนิยม

 

ผ่านไปแล้ว สำหรับงาน “1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล สื่อโทรทัศน์เคียงข้างคนไทย” โดยเป็นการสัมมนา ตลอด 10 ปีที่สื่อทีวีไทย เดินหน้าสู่ความเป็น “ทีวีดิจิทัล” ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? ประการที่สำคัญ เหลือเวลาอีกราว ๆ 4 ปีเศษ ใบอนุญาตทีวีดิจิทัลที่ผู้ประกอบการเคยประมูลไป กำลังจะหมดอายุลง

เกิดหลายคำถามสำคัญ ทั้งการเลือกที่จะเดินหน้าต่อ ควรเดินต่ออย่างไร โดยเฉพาะในวันที่อุตสาหกรรมโทรทัศน์เมืองไทย ถูกสื่อออนไลน์มากมายหลายแพลตฟอร์ม รุกโหมกระหน่ำอยู่เช่นนี้

งานนี้เดินหน้าก็ยาก ถอยหลังก็อาจจะยิ่งแย่ แต่ทุกปัญหาย่อมมี “ทางออก” จึงนำมาซึ่งการสัมมนาเพื่อหา “คำตอบร่วมกัน” Thai PBS เก็บตก “สาระสำคัญ” เหลียวหลัง แลหน้า ทีวีดิจิทัลไทย จะเดินต่ออย่างไร เพื่อสร้างโอกาสที่ดีกว่านี้

ย้อนความเจ็บปวด เมื่อทีวีดิจิทัล “ไปไม่ถึงเป้าหมาย”

เริ่มต้นเปิดงานสัมมนาครั้งนี้ ด้วยคนทีวีคุณภาพที่คว่ำหวอดในแวดวงสื่อโทรทัศน์มายาวนานอย่าง สุภาพ คลี่ขจาย ที่มาช่วยขยายภาพกว้างของการประมูลทีวีดิจิทัลเมื่อ 10 ปีก่อน 

สุภาพบอกว่า ในต่างประเทศไม่มีการประมูลคลื่นความถี่ทีวีดิจิทัลแต่อย่างใด แต่ใช้หลักการคัดเลือก สื่อคุณภาพ ซึ่งแตกต่างจากเมืองไทยที่ใช้การประมูลกว่า 5 หมื่นล้านบาท ก่อนจะพบความจริงที่ว่า กล่อง Set Top Box หรือกล่องดูทีวีดิจิทัล ไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างที่ควรจะเป็น

“เราตั้งเป้าว่าจะแจกกล่องดูทีวีดิจิทัลให้ประชาชนราว ๆ 20% แต่มาพบความจริงที่ว่า เราแจกไปได้แค่ 10% ปัญหาคือ มันส่งไปไม่ถึงมือคนดู มันจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทีวีดิจิทัลไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร”

สุภาพ คลี่ขจาย

สุภาพมองว่า จากนี้ไป เหลือเวลาอีกราว 4 ปีกว่า ก่อนใบอนุญาตที่ประมูลไปจะหมดอายุลง คำถามคือ จะจัดให้มีการประมูลอีกหรือไม่ หรือหากคิดว่าจะไม่มีการประมูล ต้องหาทางออกร่วมกันอย่างไร

“ถ้าไม่มีการประมูล ก็ต้องแก้ที่กฎหมาย เพราะองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ กำหนดให้มีการประมูล ไม่อย่างนั้นก็จะผิดกฎหมาย แต่การแก้กฎหมายบ้านเราก็ไม่ง่าย ต้องใช้เวลา”

“ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าไม่มีการประมูล ต่อไปจะทำอย่างไร เพื่อให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผมมองว่าต้องหามุมที่ลงตัวร่วมกัน เพื่อเป็นทางออกต่อไปในอนาคต”

อยากอยู่รอด ต้องสู้ เพราะ “สื่อทีวี” ยังมีแต้มต่ออยู่

มาถึงคิวของผู้ประกอบการอย่าง ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้บริหารใหญ่แห่ง “ช่อง ONE 31” หนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมประมูลคลื่นสัญญาณทีวีดิจิทัลเมื่อ 10 ปีก่อน วันนี้ผ่านมา 10 ปี ถกลเกียรติ เล่าว่า เขาต้องใช้เวลาราว 4-5 ปี ที่ต้องฝ่าฟัน นำพาธุรกิจให้อยู่รอดไปให้ได้

“ต้องยอมรับว่าช่วงแรก ๆ เหมือนเป็นฝันหวาน เราคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่ทุกฝ่ายคิด แต่ผลออกมาว่า การกระจายกล่อง Set Top Box ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เราล้มลุกคลุกคลานอยู่ 4-5 ปี กว่าจะตั้งตัวได้"

"สิ่งที่เราทำคือ ต้องปรับตัวให้เร็ว เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว แม้ว่าเราจะไม่รู้อนาคต แต่เราต้องเตรียมการคาดคะเน และต้องอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด”

ถกลเกียรติ วีรวรรณ

ถกลเกียรติ บอกอีกว่า ทีวียังไม่ตาย และยังมีแต้มต่อ โดยเฉพาะในเรื่องความน่าเชื่อถือ

“ที่ผ่านมามักมีคนพูดว่า คนดูทีวีน้อยลง แต่ไม่ได้แปลว่า คนดูคอนเทนต์น้อยลง และข้อสังเกตอีกประการ คอนเทนต์ที่ตรวจสอบได้ มีแต่ในช่องทีวี นี่คือสิ่งที่โซเชียลมีเดียยังทำได้ไม่เท่ากับทีวี”

สุดท้าย ถกลเกียรติ ว่า ทีวียังไม่หายไปไหน เพียงแต่คนคิดและคนทำ ต้องรู้จักมองหาโอกาส และปรับตัวไปกับเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“อย่าปล่อยทิ้งของเก่า อย่าไปเริ่มต้นใหม่หมด ต้องไม่่ลืมสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มันก็สำคัญ เพียงแต่ให้ค่อยๆ เปลี่ยนไปแบบออแกนิกจะดีที่สุด”

ทีวียังมีความหวัง หากดูจากสถิติ

รัญชิตา ศรีวรวิไล

ทีวีจะรอดหรือร่วง อยู่ที่เรตติง หรือกระแสความนิยม ที่ผ่านมา แวดวงทีวีไทยคุ้นเคยกับบริษัทเก็บสถิติการรับชมที่ชื่อ Nielsen โดย รัญชิตา ศรีวรวิไล ผู้อำนวยการใหญ่แห่ง นีลเส็น มีเดีย ประเทศไทย ได้นำสถิติตัวเลข ที่สรุปออกมาได้อย่างน่าสนใจดังนี้

  • 87% ของประชากรไทย ยังดูทีวีอยู่
  • แต่พฤติกรรมการดูทีวีเปลี่ยนไป ทีวีต้องสามารถเข้าอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลมีเดีย เล่นสตรีมมิ่ง และมิวสิกสตรีมมิ่งได้ 
  • ทีวียังเป็นคำที่มีพลังอยู่มาก คนไทยยังคิดเสมอว่า ยังดูทีวีอยู่ แม้ว่าสิ่งที่ดูอาจจะไม่ใชแพลตฟอร์มทีวีแล้วก็ตาม
  • แบรนด์สินค้าและโฆษณายังให้ความสำคัญกับทีวีอยู่ ทีวียังมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 50% เป็นแพฟอร์มที่แบรนด์สินค้าจ่ายเงินโฆษณาเยอะที่สุด แม้จะมีแนวโน้มที่ลดลงไปก็ตามที
  • ปี 2023 คนดูทีวีออฟไลน์ 63% ดูสตรีมมิ่ง 37% ครึ่งปีแรกของปี 2024 คนดูทีวี 53% ดูสตรีมมิ่ง 47%
  • แพลตฟอร์มทางเลือกที่มาแรงที่สุด คือ สตรีมมิ่ง คน Gen Y และ Gen Z ยินดีจ่ายเงิน เพื่อดูพรีเมียมคอนเทนต์บนสตรีมมิ่ง 
  • อนาคตสื่อเมืองไทยจะมี Flagmentation หรือการกระจายตัวที่สูงมาก เราอาจจะได้เห็นช่องยูทูบคนไทยนับล้านช่อง ดังนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสื่อ ต้องปรับตัวกับสื่อที่กระจายตัวมากขึ้นต่อไป

ทีวีจะอยู่ได้ อีกเงื่อนสำคัญคือ คอนเทนต์ต้องปัง

การอยู่รอดของทีวีอาจต้องอาศัยหลายปัจจัย แต่ “หัวใจ” ที่จะทำให้ทีวีได้ไปต่อ นั่นคือ คอนเทนต์ หรือเนื้อหาที่ถูกใจคนดู ซึ่งเรื่องนี้ ดร.ธนกร ศรีสุกใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และ เขมทัตต์ พลเดช นายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ได้มาช่วยถ่ายทอดมุมมองอันน่าสนใจ

โดย ดร.ธนกร ตอกย้ำว่า ทีวียังไม่ล้มหายตายจากไปอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ยุคทอง และจะอยู่รอดต่อไปด้วยคอนเทนต์เป็นสำคัญ

“สื่อดั้งเดิมมันไม่มีวันตาย แต่มันอาจจะไม่ใช่ยุคทอง ที่รุ่งเรืองมาก เมื่อก่อนยุคคลื่นความถี่ทรงพลังมาก แต่ในขณะที่วันนี้ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า มันอยู่ไม่ได้ แต่มันจะอยู่รอดได้ด้วยคอนเทนต์”

ดร.ธนกร ศรีสุกใส

ในมุมของคอนเทนต์ เรื่องที่กำลังพูดถึงกันมากในช่วงเวลานี้ นั่นคือ คอนเทนต์ Soft Power หรือการนำเสนอเนื้อหาที่มีความเป็น “ไทย” เพื่อส่งออกสู่ตลาดนานาชาติ ซึ่งเขมทัตต์ บอกว่า วาระนี้เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากจะต้องใช้เวลา ยังต้องอาศัยการร่วมมือกันอย่างมาก

“อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ที่ประสบความสำเร็จ เขาก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน เกาหลีใต้ส่งนักเรียน อาจารย์ ไปเรียนที่อเมริกา รวมทั้งให้ทุนกับคนทำงาน ไม่นับรวมเรื่องกฎหมายที่เอื้อต่อการทำงานในอุตสาหกรรมสื่ออย่างมาก”

ดร.ธนกร ช่วยเสริมว่า คอนเทนต์คือเนื้อหา ส่วนซอฟต์พาวเวอร์คือวิธีการ คำถามคือ จะมีวิธีการอย่างไรให้สามารถส่งคอนเทนต์ออกไปสู่นานาชาติได้ 

“Content is the king แต่ Platform is the Queen หมายความว่า เมื่อมีคอนเทนต์ที่ดีพอแล้ว ต้องมีทางให้คอนเทนต์ไปด้วย”

เขมทัตต์ มองว่า เมืองไทยมีต้นทุนของคอนเทนต์อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทำอย่างไรที่จะสร้างแรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่มีอยู่มากมาย ให้เกิดผลงานที่ประสบความสำเร็จออกมาได้

“ถ้าจะทำคอนเทนต์ ต้องทำเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจ ไม่ต้องไปเกี่ยวกับการเมืองก็ได้ เมืองไทยมีวัตถุดิบเยอะมาก ซึ่งเปรียบเทียบกับของเกาหลีใต้แล้ว เบื้องหลังการพัฒนาบทของเกาหลียากกว่ามาก แต่ของเราต้นทุนเรื่องราวเยอะแยะมาก อยู่ที่เราจะหยิบจับมาบอกเล่าอย่างไรนี่เอง”

เขมทัตต์ พลเดช

ในมุมของการทำให้ “คอนเทนต์ไทย” ไปให้ไกลได้นั้น เอกชัย เอื้อครองธรรม ผู้กำกับและผู้ผลิตซีรีส์ไทย ได้มานำเสนอปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความจริงขึ้นมาได้ เขามีปัจจัยที่เรียกว่า Glocal 

“มันคือ Global บวกกับคำว่า Local หมายความว่า เป็นคอนเทนต์ที่มีพันธุกรรม ที่มีจิตวิญญาณความเป็นไทย แต่ไปถูกใจคนทั้งโลก”

แต่การจะทำให้คอนเทนต์ที่เรียกว่า Glocal เป็นไปได้ เอกชัยบอกว่า ต้องได้รับการสนับสนุน โดยเฉพาะจากภาครัฐ เขาเรียกว่าเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือ Super Chaging

“Super Chaging คือการเร่งปฏิกิริยา ทำให้เกิดการขยายตัว วิธีแรก ต้องทำให้เราเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่เราสร้างขึ้นเอง ทำให้คนไทยถือลิขสิทธิ์งานของตัวเองอย่างแท้จริง"

"และวิธีการต่อมา ภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่ถูกสร้างโดยคนไทย สามารถได้เงินคืนเท่ากับกองถ่ายทำต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย”

เอกชัย เอื้อครองธรรม

เอกชัย บอกว่า ที่ผ่านมา มีวิธีการดึงดูดให้กองถ่ายงานจากต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย โดยให้เงินคืนค่ากองถ่ายทำสูงถึง 20% ซึ่งในมุมกลับกัน หากทีมงานที่สร้างผลงานไทยได้รับเงินเหล่านี้บ้าง จะเป็นการเพิ่มโอกาสและคุณภาพในการทำงานที่มากขึ้นได้

“ถ้าภาพยนตร์และซีรีส์ที่ถูกสร้างโดยคนไทย ได้เงินคืนเท่ากับกองถ่ายทำต่างชาติ จากนั้นมาพิสูจน์กันว่า เราจะดึงดูดคนต่างชาติ ให้มาดูงานไทยได้หรือไม่”

“ข่าวทีวี” อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของวงการโทรทัศน์

ย้อนกลับไปที่ ถกลเกียรติ พูดไว้ตอนต้น เงื่อนไขสำคัญที่ “โทรทัศน์” ยังดำรงอยู่ คือสามารถตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการเซนเซอร์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ต้องได้รับการตรวจสอบเสมอ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการตอกย้ำจาก เทพชัย หย่อง คนข่าวทีวีที่คว่ำหวอดในแวดวงโทรทัศน์เมืองไทยมายาวนาน เขาเชื่อว่า ทีวี และข่าวทีวี ยังคงมีความสำคัญกับสังคมไทยอยู่

“แม้ว่าจะเปรียบเหมือนคนไข้ที่กำลังป่วย ที่พยายามประคับประคองให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ผมยังเชื่อว่า ทีวียังคงมีบทบาทต่อสังคมไทย โดยเฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร หรือการให้ความรู้กับสังคม การเปลี่ยนแปลงของสังคมในช่วงสำคัญ ๆ สื่อทีวีก็อยู่ในบทบาทเสมอ”

เทพชัย มองว่า คู่แข่งของทีวี คือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่ตามมาจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ คือบรรดาข่าวลวง ข่าวปล่อย หรือข่าวปลอม ที่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้นแต่ประการใด

“แพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ต้องพึ่งสื่อกระแสหลักอีกแล้ว แต่มันก็เป็นปัญหาในตัวมันเอง บางครั้งไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นข่าวปล่อย หรือแม้แต่ตกเป็นเครื่องมือทางด้านการเมือง”

เทพชัย หย่อง

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากในเวลานี้ สิ่งที่ต้องไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสอันรุนแรงเหล่านี้ คือ ความน่าเชื่อถือของสื่อ ที่ต้องมีอยู่เสมอ

“ผมเชื่อว่าสังคมยังต้องมีสื่อกระแสหลักที่ไว้วางใจได้ แต่ทำอย่างไรให้คนรู้สึกอย่างนั้น คนทำงานเองต้องมีความจริงจัง มีจริยธรรม มีทิศทาง ที่อยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง"

"วันนี้สื่อกระแสหลักอย่างทีวี ต้องปรับตัวอย่างมากกับความเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องไม่เปลี่ยนจุดยืนในการทำงาน”

บทสรุป “ทีวีดิจิทัลไทย” ไปต่ออย่างไร ?

แม้ไม่อาจทราบได้ว่า อนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่ออย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 5 ปีนับจากนี้ คือภาพสะท้อนของการเป็นอยู่ของ “สื่อทีวี” อย่างแน่นอน 

ในฐานะผู้ควบคุมและดูแล “คลื่นสัญญาณทีวีดิจิทัล” พิรงรอง รามสูตร กรรมการ กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ ได้แบ่งฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ไว้เป็น 3 ส่วน

“ฉากทัศน์แรก ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะเกิดการล่มสลายของวงการโทรทัศน์ขึ้น เม็ดเงินโฆษณาจะไหลไปอยู่แพลตฟอร์มที่เป็น Global Tech มากขึ้น”

“ฉากทัศน์ต่อมา อาจจะมีการแทรกแซงโดยนโยบาย เพื่อทำให้เกิดความสมดุลย์มากขึ้นในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ มีความเป็นไปได้หากจะมีการสร้างแพลตฟอร์ม OTT ระดับชาติขึ้นมา เพื่อนำแพลตฟอร์มทีวีทั้งหมดไปอยู่บน OTT โดยให้รัฐเป็นผู้ Subsidize หรือสนับสนุนเงิน”

“ฉากทัศน์ที่สาม เรื่องซอฟต์พาวเวอร์ มีนโยบายนำพาคอนเทนต์ไทยไปตลาดโลก ต้องมีการลงทุนที่เข้มข้น มีองค์กรที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์โดยตรง มีการอัปเกรด ยกระดับมาตรฐานคอนเทนต์ รวมทั้งแพลตฟอร์มก็ต้องอัปเกรดด้วย รัฐต้องมีนโยบายกับอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจนและจริงจังมากขึ้น”

พิรงรอง รามสูตร

พิรงรอง ให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ในอนาคตควรมีองค์กรที่เข้ามาดูแลเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน รวมถึงการปรับเปลี่ยนแก้ไขกฎหมาย ที่จะช่วยให้กระบวนการการทำงานมีความสะดวกมากขึ้น

“อนาคตอาจมีการแยกใบอนุญาต Network กับ Service กันอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดการบริหารงานที่ตรงและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น”

ปี 2572 ทีวีดิจิทัลจะสิ้นสุดสัมปทาน ไม่มีใครรู้ว่า ถึงตอนนั้น จะเกิดหลักการ หรือวิธีการใดเพื่อการจัดสรรใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากเนื้อหาของการสัมมนาครั้งนี้ ทีวียังคงมีความหวัง แต่จะอยู่แบบ “คนป่วย” หรือกลายเป็น “คนแข็งแรง” ขึ้นอยู่กับการร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคฝ่าย เพราะสุดท้าย ทีวียังคงเป็นอุปกรณ์ที่เป็น “ส่วนหนึ่ง” ของสังคมไทยอยู่เสมอ

  • ย้อนชม 1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล" | ช่วงที่ 1

 

  • ย้อนชม "1 ทศวรรษทีวีดิจิทัล" | ช่วงที่ 2

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ทีวีดิจิทัลสื่อโทรทัศน์อุตสาหกรรมสื่อทีวีไทย
สันทัด โพธิสา

ผู้เขียน: สันทัด โพธิสา

เจ้าหน้าที่เนื้อหาออนไลน์อาวุโส Thai PBS สนใจความเคลื่อนไหวของสังคม ผู้คน และเทรนด์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และรวมถึงเป็นสมาชิกทาสแมวมายาวนาน

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด