ในสังคมไทยปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น วิธีจัดการ “การเงินหลังเกษียณ” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้
Thai PBS ขอชวนทุกคนมาเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับวัยเกษียณจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของการออมเงิน
ก่อนเกษียณควรเตรียมความพร้อมอย่างไร ? การเงินในวัยเกษียณอายุต้องจัดการอย่างไรบ้าง ? ควรออมเงินเท่าไหร่เพื่อเป้าหมายในการมีชีวิตวัยเกษียณที่ดี ? รับฟังเทคนิคข้อคิดดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ รองศาสตราจารย์ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักเศรษฐศาสตร์และนักสื่อสารมวลชน
เตรียมความพร้อมทางการเงินตั้งแต่วัยทำงาน
รองศาสตราจารย์ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้แบ่งช่วงชีวิตของมนุษย์ออกเป็น 3 ช่วง เพื่อให้เห็นถึงภาพกว้าง เป้าหมาย และความสำคัญในการวางแผนการเงินวัยเกษียณ ดังนี้
ช่วงแรก เป็นช่วงที่พ่อแม่ลงทุนการศึกษาให้กับเรา เราจึงมีหน้าที่ในการเรียนรู้เพื่อไปประกอบอาชีพในช่วงต่อไป
ช่วงที่สอง คือช่วงระหว่างอายุ 20-60 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เราทำงาน และควรมีการออมเงินเพื่อใช้ในช่วงที่สาม
ช่วงที่สาม คือช่วงหลังจากเกษียณอายุ ซึ่งเราจะใช้เงินที่ออมไว้ในช่วงที่สอง ดังนั้น การวางแผนการเงินตั้งแต่วัยทำงานจึงมีความสำคัญมาก เพื่อให้เราสามารถมีเงินใช้จ่ายอย่างเพียงพอในช่วงหลังเกษียณ
การคำนวณเงินที่ต้องเตรียมไว้สำหรับวัยเกษียณ
หากเราต้องการใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท ในช่วง 20 ปีหลังเกษียณ ซึ่งรวมค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว เราจะต้องมีเงินออมสำรองประมาณ 5 ล้านบาท แต่หากเราต้องการใช้จ่ายเดือนละ 40,000 บาท เราจะต้องมีเงินออมสำรองประมาณ 10 ล้านบาท ดังนั้น การวางแผนการเงินตั้งแต่วัยทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถสร้างเงินออมที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงวัยเกษียณ
ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ต้องการใช้จ่ายในวันเกษียณก็ขึ้นอยู่กับการตั้งเป้าหมายในแต่ละคน บางคนอาจน้อยกว่า หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย สิ่งสำคัญคือเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อให้สามารถวางแผนการเงินและมองเห็นได้ว่าปัจจุบันเราต้องทำอะไรเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
ปรับเปลี่ยนมุมมองการออมเงิน ยิ่งมีมาก ควรออมให้มากขึ้น
หลายคนมักจะคิดว่า การออมเงินคือสิ่งที่ทำได้ต่อเมื่อมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละวัน แต่ในความเป็นจริง เราควรมองการออมเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนการใช้จ่าย สูตรการออมที่ดี คือ มีรายได้เท่าไร ออมชัวร์ๆ เท่าไร ที่เหลือจึงบริโภค ซึ่งวิธีคิดแบบนี้จะช่วยให้เราสามารถออมเงินได้อย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่น หากเรามีรายได้เดือนละ 20,000 บาท เราควรออมไว้ 4,000 บาท (20%) ก่อน แล้วจึงใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ 16,000 บาท (80%) สำหรับค่าใช้จ่ายและการพักผ่อนหย่อนใจ หรืออีกกรณีเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาท เราควรออมไว้ 9,000 บาท (30%) และใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ 21,000 บาท (70%) กรณีสุดท้ายหากรายได้เพิ่มเป็น 40,000 บาท เราควรออมไว้ 16,000 บาท (40%) และใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ 24,000 บาท (60%) ด้วยวิธีคิดแบบนี้ จะช่วยให้เราสามารถออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
ไม่หยุดทำงานหลังเกษียณ
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือ การไม่หยุดทำงานหลังจากเกษียณอายุ เนื่องจากหลังจากเกษียณแล้ว เรายังมีอายุขัยเฉลี่ยอีกประมาณ 20 ปี ดังนั้น การหยุดทำงานเร็วเกินไปอาจส่งผลให้เงินออมที่เราสะสมไว้ไม่เพียงพอ ดังนั้น แทนที่จะหยุดทำงานเมื่อเกษียณ เราควรพยายามหางานใหม่ที่เหมาะสมกับตัวเอง หรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อรองรับการทำงานในอนาคต เพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองทางการเงินได้ยาวนานที่สุด
คำถามที่มักพบบ่อยสำหรับผู้ออมเงิน
1. ควรเริ่มวางแผนการเงินสำหรับวัยเกษียณเมื่อไร?
ควรเริ่มวางแผนการเงินสำหรับวัยเกษียณตั้งแต่วัยทำงาน เพื่อให้มีเวลาในการสร้างเงินออมที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงหลังเกษียณ
2. ควรออมเงินในสัดส่วนเท่าไร?
ควรออมเงินในสัดส่วนที่เหมาะสมกับรายได้ โดยเริ่มจากออมประมาณ 20-30% ของรายได้ และค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนการออมให้มากขึ้นเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น เช่น 40-50%
3. ควรทำงานต่อหลังเกษียณหรือไม่?
ควรพยายามทำงานต่อหลังเกษียณ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองทางการเงินได้ยาวนานที่สุด และไม่ต้องใช้เงินออมหมดเร็วเกินไป
บทสรุป
การจัดการทางการเงินสำหรับวัยเกษียณนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งควรเริ่มวางแผนตั้งแต่วัยทำงาน โดยการออมเงินในสัดส่วนที่เหมาะสมกับรายได้ และพยายามทำงานต่อหลังเกษียณ เพื่อให้มีความมั่นคงทางการเงินในช่วงหลังเกษียณ นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนมุมมองในการออมเงินให้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนการใช้จ่าย ก็จะช่วยให้เราสามารถสร้างเงินออมได้อย่างต่อเนื่อง